หลังจากเปิดตัว Redmi Note 13 Series ไปแล้วเมื่อต้นปี 3 รุ่น ยังมีอีกหนึ่งรุ่นที่ Xiaomi ปล่อยออกมาล่าสุด นั่นก็คือ Redmi Note 13 Pro 5G ถือเป็นรุ่นสุดท้ายจากทั้งหมด 4 รุ่นในซีรี่ย์นี้ จะเป็นรองเพียงแค่ Redmi Note 13 Pro+ 5G เท่านั้น โดยรวมแล้วสเป็คถือว่าใกล้เคียงกันแต่มีราคาประหยัดกว่า ส่วนจะมีอะไรที่แตกต่างกันบ้างนั้น เรามาแกะกล่องดูกันเลย
แกะกล่องลองเล่น Redmi Note 13 Pro 5G
เมื่อแกะกล่องออกมาจะพบกับพลาสติกห่อตัวเครื่องไว้ โดยมีคุณสมบัติเด่นๆ หลายด้านสกรีนที่หน้าซอง ไม่ว่าจะเป็นกล้อง Ultra-clear 200MP พร้อมกันสั่น OIS, จอแสดงผล AMOLED ความละเอียด 1.5K 120Hz, หน่วยประมวลผล Snapdragon 7s Gen 2, ชาร์จเร็ว 67 วัตต์, แบตเตอรี่ 5100 mAh และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้า ส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ภายในกล่องมีดังนี้
- Redmi Note 13 Pro 5G สี Aurora Purple
- อแดปเตอร์ TurboCharge 67W
- สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-A to USB-C
- เคสซิลิโคน
- ฟิล์มกันรอยแบบติดมาจากโรงงาน
- คู่มือการใช้งาน+ใบรับประกัน
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
อุปกรณ์ในกล่องกล่องก็มีมาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเคสซิลิโคน ฟิล์มกันรอยที่ติดมาพร้อมจากโรงงาน อแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ TurboCharge 67 วัตต์ก็มีมาให้ครบ แกะกล่องออกมาก็สามารถใช้งานได้ทันที ไม่ต้องหาซื้ออุปกรณ์กันรอยเพิ่มเติมเหมือนบางแบรนด์ที่เริ่มติดอแดปเตอร์ออกจากกล่องแล้ว
Redmi Note 13 Pro สี Aurora Purple ดีไซน์พรีเมี่ยม บางเฉียบเพียง 7.98 มม.
Redmi Note 13 Pro 5G ดีไซน์แบบเรียบๆ แต่มีความเรียบหรู พรีเมี่ยม ดูสะอาดตา โดยเครื่องที่เราได้มาทดสอบเป็นสี Aurora Purple ที่ดูโดดเด่น โดยเฉพาะตอนสะท้อนแสงจะเห็นความเงางาม ไล่เฉดสีเงิน-ม่วงอ่อนไม่เหมือนใคร พื้นผิวของฝาหลังเป็นแบบด้าน ไม่ติดรอยนิ้วมือได้ง่ายๆ นอกจากนี้ยังมีสี Midnight Black และสี Ocean Teal มาให้เลือกอีกด้วย
กระจกด้านหน้าใช้วัสดุเป็นกระจกกันรอยคุณภาพสูงอย่าง Corning Gorilla Victus ทนต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วน จอแสดงผลของรุ่นนี้ใช้จอภาพแบบ AMOLED ขนาดใหญ่ 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1.5K หรือ 1220 x 2712 พิกเซล พร้อมอัตรารีเฟรชเรท 120 Hz รองรับ Dolby Vision เหนือจอแสดงผลนอกจากจะกล้องหน้าแบบ DotDisplay แล้ว ยังมีลำโพงสนทนา เซ็นเซอร์ต่างที่ถูกซ่อนไว้บริเวณนี้ทั้งหมด ส่วนด้านล่างของหน้าจอยังมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือซ่อนอยู่ใต้จอแสดงผลด้วย
ที่ด้านหลังสี Aurora Purple ถูกออกแบบมาอย่างเรียบๆ แต่โดดเด่นด้วยโมดูลกล้องที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์โดยเป็นพื้นผิวแบบเงา ทำให้กล้องดูโดดเด่นขึ้นมา โดยกล้องเลนส์หลัก และกล้องเลนส์ Ultra-wide จะมีขนาดใหญ่พอสมควร ส่วนกล้องเลนส์ Macro จะมีขนาดที่เล็กกว่า สำหรับโมดูกล้องนี้จะนูนขึ้นมาจากตัวเครื่องพอสมควร แต่ก็ปกป้องได้ด้วยเคสซิลิโคนที่มีมาให้ในกล่อง
ดีไซน์ด้านข้างของรุ่นนี้เป็นแบบเหลี่ยม ดีไซน์งาบเฉียบเพียง 7.98 มม. เท่านั้น จับได้ถนัดมือ โดยที่ด้านข้างซ้ายถูกดีไซน์มาแบบโล่งๆ ไม่มีปุ่มกดใดๆ อยู่ฝั่งนี้ ส่วนที่ด้านข้างขวาจะมีปุ่มปรับระดับเสียง ถัดลงมาเป็นปุ่มเปิด/ปิดเครื่อง
ที่ด้านบนไล่จากทางด้านซ้ายจะเห็นพอร์ตอินฟราเรด หรือ IR Blaster สำหรับสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยใช้ร่วมกับแอพฯ Mi Remote ที่ติดตั้งมาพร้อมในเครื่อง ถัดมามีช่องเล็กๆ เป็นไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน ถัดมาเป็นลำโพงแบบสเตอริโอที่ทำงานร่วมกับลำโพงที่อยู่ด้านล่างของตัวเครื่อง สุดท้ายกับช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม. ที่ยังคงมีมาให้สำหรับการฟังเพลง หรือใช้สนทนาจากหูฟังสมอลล์ทอล์คก็ได้เช่นกัน
ที่ด้านล่างของตัวเครื่องไล่จากด้านซ้ายมีช่องใส่ถาดซิมการ์ด 2 ซิม เป็นแบบประกบด้านบน และด้านล่าง ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้ หรือหากไม่สะดวกที่จะใช้ซิมการ์ด ก็สามารถใช้ eSIM ก็ได้เช่นกัน โดยติดต่อกับผู้ให้บริการเครือข่ายที่ใช้บริการ ถัดมาเป็นช่องไมโครโฟนรับเสียงสนทนา, ช่องเสียบสายชาร์จแบบ USB-C และลำโพงสปีกเกอร์โฟน เมื่อวางในแนวนอนฟังเพลง หรือชมภาพยนตร์ก็จะให้มิติเสียงแยกซ้ายขวาได้อย่างชัดเจน
กล้องความคมชัดสูง 200 ล้านพิกเซล 4x Lossless Zoom พร้อมระบบกันสั่น OIS
ถึงแม้ว่าจะเป็นรุ่นรองลงมาจาก Note 13 Pro+ แต่ในรุ่นนี้ก็มีกล้องความละเอียดสูงถึง 200 ล้านพิกเซลไม่แพ้กัน เซ็นเซอร์รับภาพ Samsung ISOCELL HP3 ขนาดใหญ่ถึง 1/1.4 นิ้ว ประกอบด้วยเลนส์ที่มากถึง 7 ชิ้นเลนส์ พร้อม Atomic Layer Deposition (ALD) ช่วยลดแสงแฟลร์และภาพซ้อนอย่างมีประสิทธิภาพ รูรับแสงกว้าง f/1.65 และ Tetra pixel ซึ่งเป็นเทคโนโลยี Pixel-binning ขั้นสูงที่รวมเอา 16 พิกเซลบนเซ็นเซอร์รับภาพเป็น 1 พิกเซล ทำให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยรับแสงได้อย่างเต็มที่
และด้วยเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ยังสามารถซูมภาพแบบไม่สูญเสียรายละเอียดได้ถึง 4 เท่า (4x Lossless Zoom) เทียบเท่ากับการซูมแบบออฟติคอลได้เลย ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น กล้องของรุ่นนี้ยังมีระบบกันสั่นแบบ OIS (Optical image stabilization) ซึ่งเป็นระบบกันสั่นระดับ Hardward ที่ช่วยให้ภาพไม่สั่นไหว ทั้งการถ่ายภาพนิ่ง และวิดีโอ นอกจากกล้องที่มีประสิทธิภาพแล้ว ระบบยังทำงานร่วมกับ Xiaomi Imaging Engine ซึ่งเป็นระบบประมวลผลภาพถ่ายพิเศษที่ทำให้ภาพออกสวยงาม และเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น สำหรับกล้องหน้า และกล้องทั้ง 3 ตัวของ Redmi Note 13 Pro 5G มีสเปคดังนี้
กล้องหน้า
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.5
กล้องหลัง
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.65 ขนาดใหญ่ 1/1.4 นิ้ว, 7 ชิ้นเลนส์ ระบบกันสั่น OIS เซ็นเซอร์รับภาพ Samsung ISOCELL HP3
- กล้องเลนส์ Ultra wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 มุมกว้าง 119 องศา
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
โหมดการถ่ายภาพของรุ่นนี้ก็มีให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโหมดความละเอียดสูง 200MP ที่เหมาะที่จะนำไปใช้กับงานความละเอียดสูง, โหมดการถ่ายภาพ Pro ที่สามารถปรับแต่งการถ่ายภาพได้เหมือนกับกล้องระดับมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการปรับรูรับแสง, การปรับระยะโฟกัส, การปรับเลือกค่าความไวแสง หรือค่า ISO เป็นต้น ส่วนโหมดอื่นๆ ก็มีให้เลือกทั้งโหมดถ่ายกลางคืน, พาโนรามา, เอกสาร, Slow-motion, Time-lapse, Long Exposure และโหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพบุคคล สามารถปรับค่ารูรับแสง หรือความเบลอของฉากหลังได้ตั้งแต่ f/1.0 (เบลอมากสุด) ไปจนถึง f/16 (เบลอน้อยสุด) เลือกปรับความเนียนของใบหน้าได้ด้วยโหมด Beautify ได้ถึง 100 ระดับ และยังมีฟิลเตอร์ filmCamera ใหม่ล่าสุด และ Xiaomi ProCut ซึ่งจะตัดแต่งรูปภาพถ่ายเพื่อสร้างองค์ประกอบภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น
โหมดการถ่ายวิดีโอก็สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K 30 เฟรมต่อวินาที หรือความละเอียด 1080p ก็สามารถถ่ายได้ที่ 60 เฟรมต่อวินาที มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS ซึ่งเป็นระบบกันสั่นในระดับ Hardware ที่ตัวเลนส์ นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นในการถ่ายวิดีโอ อย่าง VLOG หรือโหมดการถ่ายหนังสั้นช่วยในการถ่ายคลิปวิดีโอสั้นๆ ให้สนุกยิ่งขึ้น เหมาะกับการถ่ายสนุกๆ อัพลง Story, Reel หรือ TikTok หรือแพลทฟอร์มวิดีโอสั้นอื่นๆ ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้
ตัวอย่างภาพถ่ายอยู่ท้ายรีวิว
จอแสดงผลแบบ AMOLED คมชัดระดับ 1.5K พร้อมระบบเสียง Dual Dolby
จอแสดงผลความละเอียด 1.5K ที่ให้ความสว่างสูงสุด 1800 nits โดยใช้หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED อัตรารีเฟรช AdaptiveSync 120Hz ทำให้การเลื่อนหน้าจอ หรือการดูวิดีโอ การเล่นเกมเป็นไปได้อย่างลื่นไหล มีอัตราการตอบสนองการสัมผัสหรือ Touch Sampling Rate สูงถึง 2160Hz รองรับ Dolby Vision จอภาพยังมีความปลอดภัยต่อสายตาด้วยคุณสมบัติการลดแสง PWM 1920Hz, การปรับความสว่างได้ถึง 16,000 ระดับ ได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland ถึง 3 มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นการปราศจากการกระพริบ (Flicker Free), การเป็นมิตรทางชีวภาพตลอดทั้งวันกับผู้ใช้งาน (Circadian Friendly) และแสงสีฟ้าต่ำ (Low Blue Light)
ทางด้านระบบเสียงก็รองรับ Dolby Atmos ให้ประสบการณ์เสียงรอบทิศทาง และสมจริงทั้งการฟังเพลง เล่นเกม หรือดูภาพยนตร์ จะรับฟังผ่านลำโพงคู่ในตัวเครื่อง หรือผ่านหูฟังจากช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม. หรือชุดหูฟังบลูทูธไร้สายก็ได้เช่นกัน
เร็ว แรง เสถียร ด้วยหน่วยประมวลผล Snapdragon 7s Gen 2
ด้วยชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 7s Gen 2 ที่มีความแรง และความเสถียรในการทำงาน ใช้พลังงานต่ำ จึงถูกนำมาใช้กับรุ่นนี้ โดยชิปประมวลผลถูกผลิตด้วยสถาปัตยกรรมขนาด 4 นาโนเมตร แกนประมวลผลแบบ Octa-core ทำงานที่ความเร็ว 2.4 GHz รองรับเครือข่าย 5G และในเครื่องที่เราได้มาทดสอบเป็นรุ่นหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4X ขนาด 12 GB สามารถเพิ่มได้อีก 6 GB โดยอัตโนมัติโดยดึงหน่วยความจำจาก ROM รวมเป็น 18 GB สำหรับพื้นที่หน่วยความจำสำหรับเก็บข้อมูลต่างๆ ก็มีขนาดใหญ่ถึง 512 GB สามารถเก็บข้อมูลภาพถ่าย คลิปวิดีโอ หรือข้อมูลส่วนตัวได้อย่างจุใจ
ก่อนหน้าที่เราได้เครื่องมาทดสอบ Redmi Note 13 Pro 5G ยังใช้ระบบปฏิบัติการ MIUI อยู่ และโชคดีที่เราได้รับการอัพเดทเป็นระบบปฏิบัติการใหม่ Xiaomi HyperOS เวอร์ชั่น 1.0.6 โดยมีพื้นฐานการทำงานจาก Android เวอร์ชั่น 14 รองรับการใช้งาน Google Mobile Service เต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Gmail, Google Maps หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น, เกมต่างๆ พร้อมอัพเดทความปลอดภัยในอนาคตด้วย
สำหรับเกมเราได้ทดสอบเล่นเกม 3D หนักๆ ที่เราใช้ทดสอบเป็นประจำอย่าง PUBG Mobile สามารถปรับความละเอียดได้สูงสุดที่ระดับ HDR HD และเลือกปรับเฟรมเรทได้ถึงระดับสูงสุด Ultra มีโหมด Game Turbo ที่จะช่วยจัดการทรัพยากรในเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยประมวลผล และหน่วยความจำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้เล่นเกมได้อย่างลื่นไหล สามารถปิดการแจ้งเตือนทุกอย่าง, บันทึกหน้าจอขณะเล่นเกม และเปลี่ยนเสียงพูดของเราขณะเล่นเกมได้อีกด้วย
ผลการทดสอบด้วยแอพฯ Antutu 3D Benchmark เวอร์ชั่น 10.2.4 ทำคะแนนได้สูงสุด 606,648 คะแนน แต่เมื่อเปิดโหมด Game Turbo สามารถทำคะแนนได้ดีกว่าเล็กน้อยที่ 610,839 คะแนน
ส่วนการทดสอบด้วยแอพฯ Geekbench 6 ก็สามารถทำคะแนน Single core ได้ 625 และ Multi-core ทำได้ 2593 คะแนน
แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ พร้อม TurboCharge 67 วัตต์
ภายในกล่องยังคงมีอแดปเตอร์มาให้ โดยบางแบรนด์เริ่มตัดออกบ้างแล้ว สำหรับรุ่นนี้ให้อแดปเตอร์ TurboCharge กำลังไฟ 67 วัตต์ สามารถชาร์จได้เร็วขึ้นอีก 25% เมื่อแบตเตอรี่เหลือน้อย อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี Battery Health 3.0 ช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่โดยการรักษากำลังไฟในการชาร์จให้สม่ำเสมอ ในขณะเล่นเกมเพื่อลดอุหภูมิ ช่วยดูแลอายุแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น
จากการทดสอบชาร์จแบตเตอรี่จาก 2% เพียงแค่ 10 นาทีก็สามารถชาร์จไปได้ถึง 28%, ชาร์จ 30 นาทีชาร์จไปได้ถึง 72% และจะชาร์จเต็ม 100% เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 55 นาที โดยขณะที่ชาร์จใกล้เต็ม ระบบจะทำการลดกำลังไฟเพื่อลดความร้อน และเพิ่มความปลอดภัยขณะชาร์จแบตเตอรี่
บทสรุปรีวิว Redmi Note 13 Pro 5G ในความเห็นของ What Phone
Redmi Note 13 Series ไม่ทำให้ผิดหวังสมกับการรอคอย ทั้งดีไซน์ที่สวยงาม วัสดุที่ใช้ก็เป็นกระจก Gorilla Victus คุณภาพสูง จอแสดงผลที่มีความคมชัด สีสันสวยงาม พร้อมทั้งยังช่วยถนอมสายตาด้วย ให้ความบันเทิงครบทั้งภาพและเสียง ในด้านการถ่ายภาพก็ยกกล้องจากรุ่น Pro+ มาให้ใช้งาน ด้วยกล้องความละเอียดสูงถึง 200 ล้านพิกเซล ถ่ายภาพคมชัด ให้สีสันที่สมจริง โดยเฉพาะการถ่ายภาพ Portrait ที่ดูเป็นธรรมชาติ และนอกจากนี้ตัวเครื่องยังมีประสิทธิภาพทั้งความแรง ความเสถียรในการใช้งาน แบตอึด ชาร์จเร็ว รองรับ Google Mobile Service เต็มรูปแบบ สำหรับราคาเปิดตัวอยู่ที่ 12,990 ถือว่าคุ้มค่ากับสเป็คกับฟังก์ชั่นที่ได้ทีเดียว
สรุปสเป็ค Redmi Note 13 Pro 5G
- ขนาด 161.5 x 74.24 x 7.98 มม. น้ำหนัก 210.5 กรัม
- รองรับเครือข่าย 4G LTE และ 5G
- ช่องใส่ซิมการ์ดแบบ SIM1+SIM2 หรือ eSIM+SIM1
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1220 x 2712 พิกเซล
- จอแสดงผลรองรับ Dolby Vision, Refresh rate 120 Hz
- กระจกหน้าจอ Corning Gorilla Glass Victus
- หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 7s Gen 2 Octa-core ความเร็ว 2.4 GHz
- หน่วยประมวลผลภาพ 3D Adreno 710
- ระบบปฏิบัติการ Xiaomi HyperOS 1.0.6 บนพื้นฐาน Android 14
- หน่วยความจำ RAM 12+6 GB LPDDR4X, ROM 512 GB
- ระบบปลดล็อคด้วยสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และปลดล็อคด้วยใบหน้า
- กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล f/2.4
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.65 ขนาดใหญ่ 1/1.4 นิ้ว, 7 ชิ้นเลนส์
- กล้องเลนส์ Ultra wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- ถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K 30fps, 1080p 60fps
- แบตเตอรี่ 5100 mAh ชาร์จเร็วด้วยอแดปเตอร์ TurboCharge 67 วัตต์
- การเชื่อมต่อ WiFi ความถี่ 2.4 และ 5 GHz, Bluetooth 5.2, NFC
- ลำโพง 2 ตัว ระบบเสียงสเตอริโอ รองรับ Dolby Atmos
- กันน้ำ กันฝุ่นมาตรฐาน IP54
- มีให้เลือก 3 สี Midnight Black, Ocean Teal และ Aurora Purple
- ราคาเปิดตัว 12,990 บาท
ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า
ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง