หลังจากเปิดตัว Mi 9 ไปแล้วกับสมาร์ทโฟน Flagship ของทาง Xiaomi แต่สำหรับบางคนอาจจะดูว่าเครื่องใหญ่เกินไป ประสิทธิภาพแรงเกินความจำเป็น Xiaomi จึงปล่อย Mi 9 SE ขนาดเล็กลงกระชับมือ ตัดสิ่งที่เกินความจำเป็นออก แต่ยังคงความสวยงามเรียบหรูของตัวเครื่องไว้เช่นเดิม
แกะกล่อง รีวิว Xiaomi Mi 9 SE
Mi 9 SE มาในกล่องสีขาวเรียบหรูตามสไตล์ผลิตภัณฑ์ของ Mi เมื่อแกะกล่องออกมาจะพบกับสมาร์ทโฟน Mi 9 SE, เคสสีดำแบบซิลิโคน, สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-C, อแดปเตอร์ชาร์จไฟ และเข็มจิ้มถาดซิมการ์ด ในกล่องไม่มีชุดหูฟังมาให้ แต่ก็สามารถใช้หูฟังทั่วไปมารับฟังได้ทันที เพราะตัวเครื่องมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ขนาดมาตรฐานรองรับอยู่ และคาดว่าหลายๆ คนที่ชอบฟังเพลงคงจะไม่ฟังหูฟังที่แถมมาแน่ๆ
ตัวเครื่องที่ได้มาทดสอบเป็นสี Piano Black ดีไซน์ทำมาเรียบมากๆ แต่ดูดีด้วยวัสดุขอบตัวเครื่องโลหะเคลือบเงาสีดำ ด้านหลังใช้กระจก เลนส์กล้องแบบ Tripple Camera ค่อนข้างนูนออกมาจากตัวเครื่องพอสมควร เมื่อวางบนพื้นเรียบจะกระดกเล็กน้อย
จอแสดงผลด้านหน้าเป็นแบบ Dot drop design โดยใช้จอภาพแบบ AMOLED ขนาด 5.97 นิ้ว ความละเอียด FHD+ ครอบทับด้วยกระจก Gorrilla Glass 5 ซึ่งถือว่ามีขนาดที่ไม่เล็ก ไม่ใหญ่จนเกินไป ประกอบกับน้ำหนักโดยรวมเพียง 155 กรัม ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัด ถือใช้งานถนัด และพกพาสะดวก
ด้านขวามีเพียงปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด/ปิดเครื่อง ส่วนด้านซ้ายะเป็นถาดใส่ซิมการ์ด 2 ใบ ไม่มีช่องใส่หน่วยความจำภายนอกมาให้ นั่นก็หมายความว่าจะต้องใช้หน่วยความจำภายในเครื่องขนาด 128 GB เพียงอย่างเดียว
ด้านบนของตัวเครื่องมีพอร์ตอินฟราเรดมาให้ด้วย สามารถใช้แทนรีโมทเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ได้ทันทีในเมนู Mi Remote ที่ด้านข้างซ้ายมีถาดใส่ซิมการ์ดทั้ง 2 ใบ แต่ไม่สามารถใส่ microSD เพิ่มหน่วยความจำได้ ส่วนด้านล่างเป็นพอร์ต USB-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ หรือเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ
ส่วนด้านล่างมีเพียงพอร์ต USB-C, ช่องลำโพง และไมโครโฟนรับเสียง ไม่มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.ให้ แต่ในกล่องมีอแดปเตอร์แปลงจาก USB-C เป็น 3.5 มม. มาให้ ส่วนชุดหูฟังในกล่องไม่ได้แถมมาให้ หากต้องการฟังเพลงก็สามารถหาซื้อชุดหูฟังอื่นๆ มาใช้งานได้ หรือจะใช้ชุดหูฟังบลูทูธไร้สายมาฟังเพลงก็สะดวกเช่นกัน
ส่วนแบตเตอรี่ก็มีขนาดเล็กลงตามตัวเครื่อง มีมาให้ 3,070 mAh ซึ่งหน่วยประมวลผลชุดใหม่นี้มีระบบการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ กินไฟน้อยลง ทำให้ใช้งานได้เพียงพอในแต่ละวัน ส่วนชุดอแดปเตอร์และสายชาร์จเป็นแบบกำลังไฟ 18 วัตต์ ให้ทำชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ในกล่องยังมีเคสยางสีดำใสมาให้ในกล่อง ไม่จำเป็นต้องหาซื้อเพิ่มเติม
Mi 9 SE บาลานซ์ขนาด และประสิทธิภาพให้เหมาะสม
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่า สมาร์ทโฟน Mi 9 ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้มีตัวเครื่องขนาดใหญ่ อัดสเป็ค CPU มาแบบแรงเต็มๆ แต่สำหรับผู้ใช้บางคนมองว่าเกินความจำเป็น แถมยังมีราคาสูง แต่สำหรับรุ่นนี้บาลานซ์ขนาด และประสิทธิภาพมาให้แบบพอดีๆ แต่ก็ยังถือว่าแรงเพียงพอสำหรับการใช้งานและเล่นเกม โดยใส่ชิพประมวลผล Qualcomm Snapdragon 712 Octa-core 8 แกนประมวลผล โดยแบ่งออกเป็น Dual-core ความเร็ว 2.3 GHz และ Hexa-core ความเร็ว 1.7 GHz ส่วน RAM มีมาให้ 6 GB และหน่วยความจำ ROM สำหรับเก็บข้อมูลขนาด 128 GB ซึ่งก็ถือว่าเพียงสำหรับการใช้งานแล้วในยุคที่มี Cloud storage แบบฟรีให้ใช้งานหลากหลาย อย่างเช่น Google drive หรือ Google photo
ส่วนหน่วยประมวลผลภาพ 3D ของรุ่นนี้ใช้ Qualcomm Adreno 616 จากการทดสอบความเร็วโดยใช้แอพฯ Antutu ที่ได้รับการยอมรับจากหลายๆ สำนักพบว่าได้คะแนนสูงถึง 178,540 คะแนน ถือว่าสูงเอาเรื่องสำหรับสมาร์ทโฟนราคาระดับนี้ และจากการทดสอบเล่นเกม 3D แบบหนักๆ อย่าง PUBG Mobile สามารถปรับได้จนสุด เล่นได้อย่างลื่นไหล หมดห่วงเรื่องการเล่นเกมได้เลย
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Game speed booster ที่จะช่วยให้การเล่นเกมลื่นไหลมากยิ่งขึ้น โดยระบบจะดึงทรัพยากรทั้ง CPU, RAM ระบบการเชื่อมต่อมาใช้เพื่อการเล่นเกมโดยเฉพาะ และยังมีระบบปิดการแจ้งเตือน ปิดสายเรียกเข้าที่จะมารบกวนการเล่นเกมด้วย
กล้องความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์ Ultra-wide และถ่ายวิดีโอ 4K
ด้วยเทคโนโลยีกล้องดิจิตอลที่ก้าวไปไกลมาก Mi9 SE จึงใส่เลนส์มาให้ 3 ขนาด ทั้งเลนส์ Tele, Ultra-wide, และเลนส์ระยะปกติ โดยเลือกใช้เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX586 ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล F/1.75 สำหรับถ่ายในสภาพแสงปกติ แต่หากถ่ายในที่แสงน้อย กล้องจะปรับให้ใช้ 4 พิกเซลรับแสงเป็น 1 พิกเซล หรือ 4 in 1 Super Pixels ทำให้ภาพเหลือความละเอียด 12 ล้านพิกเซลสว่างขึ้น
ส่วนการถ่ายภาพด้วยเลนส์ Ultra-wide F/2.4 ความละเอียด 13 ล้านพิกเซลก็มีมุมมองกว้าง 123 องศา ทำให้เก็บภาพมุมกว้างได้อย่างน่าประทับใจ ไม่ต้องถอยหลังไปไกลๆ เพื่อเก็บภาพให้หมด ส่วนการถ่ายภาพบุคคล หรือ Portrait ก็สามารถทำหลังละลายได้สวยงาม นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดได้สูงสุดถึง 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที
กล้องหน้าความละเอียด 20 ล้านพิกเซลก็มีระบบ AI Portrait Selfie ที่ช่วยปรับใบหน้าอัตโนมัติ มีโหมดการถ่ายภาพ และปรับแต่งภาพให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการปรับความเบลอของฉากหลัง, การปรับแสงในเมนู Studio lighting โดยสามารถเลือกแหล่งกำเนิดแสงจากทิศทางใดก็ได้ ซึ่งจะปรับทิศทางแสงให้โดยอัตโนมัติ และยังปรับเอฟเฟ็คท์แสงต่างๆ ได้อีกด้วย
บทสรุปในความเห็นของ What Phone
จากความรู้สึกเฉยๆ เมื่อแรกพบ กลายเป็นความชอบในความเรียบง่ายของดีไซน์ รวมไปถึงขนาดที่จับใช้งานง่ายถนัดมือ พกพาสะดวก ผิวสัมผัสตัวเครื่องให้ความรู้สึกดีเมื่ออยู่ในมือ ทำให้รู้สึกติดใจอยากจะเก็บเอาไว้ใช้ต่อเมื่อถึงกำหนดต้องคืนเครื่อง และด้วยความลื่นไหล แตะสั่งงานได้ทันใจ ไม่มีสะดุดหรือกระตุกเลย ส่วนการใช้งานอื่นอย่างเช่นระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจออาจจะมีสแกนไม่ติดบ้าง ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาเพราะบนหน้าจอไม่มีอะไรเป็นจุดให้สัมผัสว่าบริเวณนี้คือส่วนสแกนนิ้ว หากใช้งานไปสักพักก็จะรู้สึกชินไปเอง แต่หากไม่ถนัดก็เปลี่ยนเป็นสแกนใบหน้าก็สะดวกรวดเร็วดีเช่นกัน สำหรับราคาเปิดตัวอยู่ที่ 11,999 บาท ซึ่งถือว่าค่อนข้างคุ้มเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนค่ายอื่นๆ และยิ่งในช่วงเปิดจองกับ Lazada ก็จะมีของแถมเพิ่มเป็น Bluetooth speaker ก็ยิ่งคุ้มเข้าไปอีก ใครมองหาสมาร์ทโฟนเครื่องเล็กๆ สเป็คแรงๆ แบบนี้บอกได้เลยว่าตอนนี้มีเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น
ภาพตัวอย่างจากกล้อง