หูฟัง True Wireless รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Samsung อย่าง Galaxy Buds2 ที่พึ่งเปิดตัวไปพร้อมๆ กับสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ Galaxy Z Fold3 และ Galaxy Z Flip3 กับราคาเปิดตัวที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายๆ มาดูกันว่าหูฟังรุ่นนี้จะมีฟีเจอร์ การใช้งาน และเสียงที่ได้เป็นอย่างไร มาแกะกล่องลองฟังกันดูเลยครับ
แกะกล่องลองฟัง Samsung Galaxy Buds2
ด้านหน้ากล่องเป็นรูปหูฟังตามสีที่มีมาให้ในกล่องเลย อย่างเช่นทีมงานได้รับสี Graphite มาทดสอบ ด้านหน้าก็จะเป็นสีเทาดำตามภาพ ส่วนด้านหลังกล่องก็จะมีบอกจุดเด่นต่างๆ ของรุ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นระบบเสียงที่คมชัดแบบ 2-way speakers, ระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelling และระยะเวลาการใช้งานที่ยาวนานถึง 20 ชั่วโมง นอกจากนี้เราจะยังเห็นโลโก้ระบบเสียงจาก AKG ด้วย เมื่อแกะกล่องออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
- Galaxy Buds2 สี Graphite
- Charging Case
- สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-C
- Ear tips 3 ขนาด (ขนาดกลางติดกับหูฟัง)
- คู่มือการใช้งาน
สีของหูฟังรุ่นนี้มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี โดยสีที่เราได้มาทดสอบเป็นสี Olive, Lavender, White และสี Graphite อย่างที่เราได้มาทดสอบ
ตัว Charging Case จะมีขนาด และลักษณะเหมือนกับรุ่นก่อนๆ อย่าง Galaxy Buds Pro และ Buds Live สามารถนำเคสของรุ่นก่อนมาใช้ร่วมกันได้ สำหรับรุ่นนี้ด้านนอก Charging Case เป็นสีขาวสะอาดตา ด้านหน้ามีไฟบอกสถานะของแบตเตอรี่ของเคสแบ่งออกเป็น 3 สี คือสีเขียว เหลือง และแดง ด้านหลังเป็นพอร์ต USB-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่
ส่วนด้านล่างเป็นส่วนของ Wireless Charging สามารถนำไปวางบนแท่นชาร์จ หรือบนสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy ที่รองรับการชาร์จอุปกรณ์อื่นๆ แบบไร้สายได้ด้วย
เมื่อเปิดเคสออกมา ด้านในก็จะเป็นสีตามหูฟังที่เราใช้ อย่างรุ่นนี้ก็จะเป็นสี Graphite แต่หากเป็นสีอื่นๆ อย่าง Lavender ด้านในก็จะเป็นสีชมพูม่วงๆ ด้วย และเมื่อเปิดออกมาก็จะพบกับหูฟังทั้งสองข้างวางชาร์จอยู่ พร้อมไฟบอกสถานะการชาร์จแบตเตอรี่ของหูฟัง หากเป็นสีเขียวบ่งบอกว่าแบตเตอรี่เต็ม และหากเป็นสีแดงเป็นสถานะการชาร์จแบตเตอรี่ของหูฟัง
หูฟังของ Galaxy Buds2 นี้ทำจากวัสดุเป็นพลาสติกแบบเงา ที่ตัวหูฟังด้านนอกมีช่องไมโครโฟนรับเสียงมาให้ถึง 2 ตัวสำหรับตัดเสียงรบกวน และบริเวณด้านนอกนี้ยังทำหน้าที่เป็นปุ่มแบบสัมผัสสำหรับแตะสั่งงานต่างๆ สามารถแตะสั่งงานได้ทั้งสองข้าง
ส่วนหูฟังด้านในจะเป็นส่วนของลำโพงที่มี Ear tips ครอบอยู่ สามารถปรับเปลี่ยนขนาด Ear tips ได้ 3 ขนาดตามลักษณะของใบหู นอกจากนี้ยังมีจุดต่างๆ หลายจุด ซึ่งทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์ตรวจจับการสวมใส่ และหน้าสัมผัสสำหรับชาร์จแบตเตอรี่เมื่อเก็บหูฟังเข้าไปในเคส
จากความรู้สึกที่สวมใส่หูฟังเข้าไปในหูพบว่า Ear tips ก็จะตัดเสียงรบกวนภายนอกได้ในระดับหนึ่ง และเมื่อทำงานร่วมกับระบบตัดเสียงรบกวนก็ยิ่งทำให้ได้ยินเสียงจากภายนอกลดลงอีกพอสมควร ส่วนตัวหูฟังก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด สามารถสวมใส่ได้เป็นระยะเวลานานโดยไม่รู้สึกรำคาญ หรืออุดอู้มากนัก แต่หากรู้สึกอึดอัดเหมือนหูอื้อ ลองปิดระบบตัดเสียงรบกวนก็จะช่วยได้พอสมควร
ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพกับสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy แต่ก็รองรับทุกระบบปฏิบัติการ
สำหรับการใช้งานสามารถนำไปเชื่อมต่อได้กับทุกระบบปฏิบัติการที่รองรับ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อย่างระบบปฏิบัติการ Windows, MacOS หรือบนสมาร์ทโฟน iOS, Android แต่หากต้องการใช้งานให้เต็มประสิทธิภาพสูงสุดควรใช้กับสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy และใช้ร่วมกับแอพฯ Galaxy Wearable ซึ่งจะช่วยให้เชื่อมต่อได้ง่ายกว่า รวดเร็วกว่า และยังสามารถอัพเดท Firmware รุ่นใหม่ๆ เพื่อพัฒนา และแก้ไขจุดบกพร่องของหูฟังได้อีกด้วย
สำหรับการใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy อย่างที่เราทดสอบใช้ร่วมกับ Galaxy Z Fold3 เมื่อเปิดฝาหูฟังขึ้นมาจะมี Pop up แจ้งเตือนให้เชื่อมต่อทันที ไม่จำเป็นต้องเปิดเมนู Bluetooth เพื่อเชื่อมต่อให้ยุ่งยาก หรือหากใช้กับแบรนด์อื่นๆ ก็สามารถเชื่อมต่อได้โดยเปิดเมนูการตั้งค่า เลือกเมนู Bluetooth แล้วเลือกชื่อรุ่นให้ตรง ทำตามขั้นตอนการเชื่อมต่อก็ใช้งานได้ทันทีเช่นกัน
ในการใช้งานแอพฯ Wearable ก็จะช่วยให้การปรับแต่ง ดูสถานะแบตเตอรี่ หรือควบคุมการใช้งาน Galaxy Buds2 ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปิด/ปิดระบบตัดเสียงรบกวน, การเลือกปรับการสั่งงานที่ตัวหูฟัง, การปรับ Equalizer หรือการปรับโทนเสียง, การอัพเดท Firmware ของหูฟัง, การค้นหาหูฟังเมื่อทำหาย เป็นต้น
ระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelling เชื่อมต่ออุปกรณ์อื่นๆ แบบไร้รอยต่อ
สำหรับระบบตัดเสียงรบกวนก็ยังคงทำได้น่าประทับใจเหมือนเดิม ตัวหูฟังเป็นแบบ In-ear ซึ่งปกติแล้วเมื่อใส่หูฟังก็จะปิดกั้นเสียงในระดับหนึ่ง และเมื่อเปิดแล้วแทบจะไม่ได้ยินเสียงจากภายนอก โดยเฉพาะสียงภายนอก อย่างเช่นเสียงในย่านความถี่ต่ำอย่างเช่นเสียงแอร์ เสียงเครื่องยนต์ โดยตามสเป็คแล้วสามารถตัดเสียงรบกวนได้ถึง 98% แต่เมื่อใช้งานจริงก็ยังพอได้ยินเสียงอื่นๆ อยู่บ้าง
แต่หากคิดว่าเสียงเงียบจนเกินไป หรือต้องการรับฟังเสียงจากภายนอกบ้างก็สามารถเปิดโหมด Ambient sound ได้โดยแตะที่ด้านข้างหูฟังค้างเอาไว้ จะได้ยินเสียงจากภายนอกชัดเจนขึ้น โดยที่ไมโครโฟนที่อยู่ด้านนอกจะรับเสียงจากภายนอกเข้ามา อีกทั้งยังทำให้เราไม่พูดเสียงดังจนเกินไปจากการที่เราไม่ได้ยินเสียงของตัวเองด้วย
Galaxy Buds2 ยังรองรับ Ecosystem ของ Samsung ด้วยระบบ Auto Switch ด้วยการเชื่อมต่อได้หลายอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy, Galaxy Tab หรือ Galaxy Watch เพียงแค่เชื่อมต่อครั้งเดียวก็สามารถสลับไปใช้งานได้อัตโนมัติในทุกอุปกรณ์ ไม่จำเป็นต้องเปิดเมนู Bluetooth เพื่อเชื่อมต่อใหม่
ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมได้ไม่ดีเลย์
โดยการใช้งานปกติแล้ว Galaxy Buds2 จะมีเสียงค่อนข้างดีเลย์พอสมควร ซึ่งหากฟังเพลงอาจจะไม่รู้สึกแปลกเท่าใดนัก แต่หากต้องการดูคลิปวิดีโอ หรือเล่นเกมอาจจะหงุดหงิดเสียอารมณ์ได้ ซึ่งหากต้องการตัดความดีเลย์ของเสียงจำเป็นต้องเปิดแอพฯ Wearable แล้วเปิด Game mode ในเมนู Labs ความดีเลย์ของเสียงจะหายไปทันที หมดปัญหาเรื่องของปากและเสียงไม่ตรงกับภาพ และยังเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล ไม่สะดุดจากเสียงไม่ตรงกับเกมด้วย
บทสรุป Samsung Galaxy Buds2 จากความเห็นของ What Phone
ถือเป็นหูฟังสำหรับการใช้งานดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมที่ค่อนข้างครบครัน ทั้งระบบเสียงที่ถูกจูนด้วย AKG เจ้าประจำของ Samsung, ระบบตัดเสียงรบกวนที่แทบไม่ต่างจาก Galaxy Buds Pro อีกทั้งยังมีราคาถูกกว่าพอสมควร สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันถือว่าตอบโจทย์มากทีเดียว สามารถรับสายโทรศัพท์ ใช้ในการประชุมออนไลน์ ก็ใช้ได้ทั้งวันด้วย Charging case ที่สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 21.5 ชั่วโมง ส่วนราคาเปิดตัวอยู่ที่ 3,990 บาท ถือว่าราคาไม่แพงมากนักเมื่อเทียบกับคุณสมบัติต่างๆ ที่ได้
สรุปสเป็ค
- ขนาดหูฟัง 17.0 x 20.9 x 21.1 มม. น้ำหนัก 5 กรัม
- ขนาด Charging case 50 x 27.8 x 50.2 มม. น้ำหนักรวม 41.2 กรัม
- เทคโนโลยี Bluetooth 5.2
- ระบบตัดเสียงรบกวนด้วยไมโครโฟนข้างละ 3 ตัว
- ระบบเสียง Sound by AKG
- สั่งงานด้วยระบบสัมผัส พร้อมเซ็นเซอร์ตรวจจับการสวมใส่
- แบตเตอรี่หูฟังความจุ 61 mAh/ข้าง, แบตเตอรี่ Charging case 472 mAh
- หูฟังใช้งานได้นาน
- 5 ชั่วโมง หรือ 20 ชั่วโมง เมื่อเปิดระบบเสียงรบกวน
- 7.5 ชั่วโมง หรือ 29 ชั่วโมง เมื่อปิดระบบเสียงรบกวน
- รองรับระบบชาร์จแบบไร้สาย
- มี 4 สีให้เลือก Graphite, White, Olive, Lavender
- ราคาเปิดตัว 3,990 บาท
