บ่อยครั้งที่เรามักจะหลงลืมว่าพวงกุญแจ กระเป๋าถือ หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงเราอยู่ที่ไหน ถ้าหากส่งสัญญาณเรียกเตือนได้ก็คงจะดี ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปด้วย Samsung Galaxy SmartTag ที่สามารถติดตามได้ว่าสิ่งของเหล่านั้นอยู่ที่ไหน และยังสามารถสั่งให้ส่งเสียงร้องเรียกเตือนได้อีกด้วย มาดูกันว่าอุปกรณ์ชนิดนี้ทำงานอย่างไร
แกะกล่องลองเล่น Galaxy SmartTag
กล่องของ Galaxy SmartTag มีขนาดเล็กกะทัดรัด เพียงเพราะตัว Galaxy SmartTag มีขนาดค่อนข้างเล็ก และไม่จำเป็นต้องมีสายชาร์จ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ใดนอกจากตัว SmartTag เอง ด้านข้างกล่องยังมีรูปเล็กๆ น่ารักๆ แนะนำให้ใช้กับสัตว์เลี้ยง กระเป๋า หรือพวงกุญแจ และเมื่อแกะกล่องออกมาก็จะพบสิ่งเหล่านี้
- Galaxy SmartTag สีดำ
- คู่มือแนะนำการใช้งาน (Quick Start Guide)
ตัว SmartTag ทำจากวัสดุโพลีคาร์บอเนต มีความแข็งแรงทนทาน ด้านหน้ามีปุ่มวงกลมขนาดใหญ่ ด้านในมีคำว่า Galaxy SmartTag กำกับอยู่ สามารถกดสั่งงานตามที่ได้ตั้งไว้ได้ทันที ส่วนด้านหลังก็มีเพียงโลโก้ Samsung เท่านั้น
ที่ด้านล่างของ SmartTag มีเพียงช่องลำโพงสำหรับส่งเสียงเมื่อมีการสั่งค้นหาจากสมาร์ทโฟน อีกทั้งยังเป็นที่ใช้เหล็กปลายแหลมงัดเปิดฝาเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ด้วย
ส่วนที่ด้านบนของ SmartTag ก็มีช่องร้อยสายที่จะนำไปติดกับอุปกรณ์ต่างๆ หรือจะร้อยเข้ากับพวงกุญแจก็ได้เช่นกัน
ใช้งานร่วมกับแอพฯ SmartThings
โดยปกติแล้วสมาร์ทโฟน Galaxy จะมีแอพฯ SmartThings ติดเครื่องมาให้อยู่แล้ว สามารถกดเชื่อมต่อได้ทันที แต่หากใช้งานสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ หรือระบบปฏิบัติการ iOS ก็สามารถดาวน์โหลดได้เช่นกัน สำหรับการเชื่อมต่อด้วยสมาร์ทโฟน Galaxy ทำได้ง่ายมาก เพียงแค่เปิดหน้าจอสแตนด์บาย แล้วกดปุ่มที่ SmartTag ก็จะมี Popup ขึ้นมาให้กดเชื่อมต่อทันที
แต่สำหรับสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ ก็จะต้องกดปุ่มที่ Galaxy SmartTag 1 ครั้ง จะได้ยินเสียงเริ่มการใช้งาน จากนั้นเปิดแอพฯ SmartThings แล้วกด Scan Nearby ก็จะพบกับอุปกรณ์ชื่อ Samsung Galaxy SmartTag ให้กดเชื่อมต่อได้ทันที รอสักพักจนเชื่อมต่อได้สำเร็จ
ต่อมาเป็นขั้นตอนการตั้งชื่อ SmartTag โดยการตั้งชื่ออาจจะเปลี่ยนเป็นชื่ออุปกรณ์ของเราเอง หรือตั้งชื่อตามสัตว์เลี้ยงก็ได้ตามสะดวก จากนั้นแอพฯ จะให้เราดาวน์โหลดแอพฯ ที่ชื่อว่า SmartThings Find เพื่อใช้ทำการค้นหาอุปกรณ์ของเราเอง สุดท้ายเป็นการอัพเดท Firmware เวอร์ชั่นใหม่ก็ทำการอัพเดทให้เรียบร้อยก็พร้อมใช้งานทันที
ค้นหาสิ่งของง่ายๆ พร้อมระบุตำแหน่งบนแผนที่
ในการค้นหา Galaxy SmartTag ก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่เปิดแอพฯ SmartThings ขึ้นมาก็จะพบกับอุปกรณ์ที่เราได้ทำการลงทะเบียนเชื่อมต่อไว้ เมื่อเลือกอุปกรณ์ที่จะค้นหาแล้วจะมีบอกสถานะการเชื่อมต่อว่าอยู่ใกล้ หรือไกล สามารถกดดูแผนที่ได้ทันทีว่า SmartTag อยู่ไหน
จากนั้นจะมี 3 ฟีเจอร์ให้เราได้ใช้งาน โดยฟีเจอร์แรกเป็น Search Nearby ที่หน้านี้จะบอกความแรงของสัญญาณ หากอยู่ใกล้ สัญญาณก็จะแรง และหากอยู่ไกล สัญญาณก็จะอ่อนตามระยะทาง
สำหรับฟีเจอร์ Navigate เป็นการนำทางบนแผนที่ไปหาอุปกรณ์ SmartTag นั้นๆ สุดท้ายกับฟีเจอร์ Ring เป็นการส่งสัญญาณให้ SmartTag ส่งเสียงเตือน โดยตัว SmartTag จะมีเสียง 2 ระดับ หากอยู่ใกล้ SmartTag จะส่งเสียงเบา และหากอยู่ไกล SmartTag ก็จะส่งเสียงดังกว่าเดิมด้วย
นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าเปลี่ยนเสียงร้องเตือนได้มากถึง 10 แบบ เลือกปรับระดับเสียงได้ 2 ระดับ และหากมีอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ที่เชื่อมต่ออยู่กับแอพฯ SmartThings ก่อนหน้านี้ยังสามารถเลือกเปิด/ปิดได้เพียงแค่กดปุ่มบน Galaxy SmartTag เพียงแค่ตั้งค่าเอาไว้
ค้นหา Galaxy SmartTag ได้ไกลขนาดไหน
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า Galaxy SmartTag นั้นทำการเชื่อมต่อจาก Bluetooth โดยสเป็คมีระยะการเชื่อมต่อไกลถึง 120 เมตรในที่โล่ง และไม่มีสัญญาณวิทยุใดๆ มารบกวน แต่จากการทดสอบใช้งานภายในออฟฟิศพบว่ารัศมีการเชื่อมต่อจะได้ประมาณ 30 เมตรก็ยังส่งสัญญาณถึงกันได้ ซึ่งหากเป็นบ้าน 2 ชั้น สัญญาณก็น่าจะครอบคลุมอยู่
แต่หากอยู่นอกรัศมีการเชื่อมต่อแล้วเราสามารถค้นหา Galaxy SmartTag ได้จากแผนที่ ซึ่งจะเป็นตำแหน่งล่าสุดที่สมาร์ทโฟนกับ Galaxy SmartTag หลุดการเชื่อมต่อจากกัน แต่ก็สามารถตั้งให้ส่งเสียงเตือนได้เมื่อเข้ามาอยู่ในรัศมีการเชื่อมต่อ
และในอนาคตทางซัมซุงกำลังพัฒนาให้ SmartTag สามารถส่งสัญญาณเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน Galaxy เครื่องอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อส่งตำแหน่งของ SmartTag ให้เจ้าของทราบถึงตำแหน่งในขณะนั้นเมื่อหลุดการเชื่อมต่อได้อีกด้วย ซึ่งการเชื่อมต่อบลูทูธกับสมาร์ทโฟนเครื่องอื่นจะถูกเข้ารหัส ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลอื่นๆ ได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นอุปกรณ์ติดตามตัวที่ได้รับความช่วยเหลือจากเครือข่ายสมาร์ทโฟน Galaxy เครื่องอื่นๆ ในอนาคตด้วย
สรุปการใช้งาน Galaxy SmartTag
จากการใช้งานถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้เราได้มากทีเดียว โดยเฉพาะการค้นหาสิ่งของที่มักจะหลงลืมทิ้งไว้ในบ้านเป็นประจำ หรือหากมีสัตว์เลี้ยงอย่างเช่นแมว หรือสุนัขที่ชอบหนีออกไปเที่ยวเดินเล่น ก็สามารถเดินหาได้ง่ายขึ้นเพียงแค่เปิดระบบค้นหาทิ้งไว้ และเมื่ออยู่ในรัศมีการเชื่อมต่อก็จะได้ยินเสียงเตือนทันที หรือหากอยู่บ้านก็สามารถตั้งให้ส่งเสียงเตือนได้เมื่อเจ้าสัตว์เลี้ยงตัวดีกลับมาถึงบ้านแล้ว สำหรับราคาเปิดตัวอยู่ที่ชิ้นละ 890 บาท ถือว่าไม่แพงเลยถ้าเป็นคนขี้ลืม และไม่อยากเสียเวลามาค้นหาสิ่งของ หรือสัตว์เลี้ยงเป็นเวลานาน อุปกรณ์ชิ้นนี้ช่วยได้มากเลยทีเดียว
ราคาวางจำหน่าย 890 บาท