อัพเกรดสู่ความเป็นโปรด้วย Vivo S1 Pro ที่พัฒนาต่อจากรุ่น S1 รุ่นแรกให้ดีกว่าเดิม รวมถึงดีไซน์ที่ออกแบบใหม่หมด ฉีกรูปแบบเดิมๆ จากที่เคยเป็นมา และยังถ่ายภาพได้มุมมองที่แปลกใหม่ด้วยเลนส์ Super Macro ที่อัพเกรดเพิ่มเติมเข้ามา สามารถถ่ายได้ใกล้กว่าที่เคย
สเปก VIVO S1 Pro
- หน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.38 นิ้ว ความละเอียด FHD+
- มีระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- ตัวเครื่องขนาด 159.25 × 75.19 × 8.68 มิลลิเมตร น้ำหนัก 187.6 กรัม
- หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 665 Octa-core
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Adreno 610
- หน่วยความจำภายใน : 128 GB, RAM : 8 GB
- กล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียดหลัก 32 ล้านพิกเซล
- กล้องหลัง AI Quad Camera
- เลนส์หลัก ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/1.8
- เลนส์ มุมกว้าง Super Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.2
- เลนส์ Super Macro Camera ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล f/2.4
- เลนส์ Bokeh 2 ล้านพิกเซล f/2.4
- แบตเตอรี่ขนาด 4,500 mAh รองรับระบบชาร์จเร็ว Dual engine fast charging สายแบบ USB-C
- ระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ครอบทับด้วย Funtouch OS 9.2
- มีให้เลือกสองสี คือ สี Knight Black และ Fancy Sky
- ราคา 9,999 บาท
แกะกล่องลองเล่น Vivo S1 Pro
ภายในกล่อง S1 Pro นั้นถือว่ามีอุปกรณ์มาให้ครบครันเลยทีเดียว ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์เสริมใดๆ เพิ่มเติมเลย เมื่อแกะกล่องออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ต่างๆ ดังต่อไปนี้
- ตัวเครื่อง Vivo S1 Pro สี Knight Black พร้อมติดฟิล์มกันรอยมาจากโรงงาน
- เคส TPU แบบใส
- อแดปเตอร์ชาร์จไฟ พร้อมระบบชาร์จเร็วอย่าง Dual-Engine Fast Charging
- สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-C
- ชุดหูฟังสมอลล์ทอล์ค
- คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
Vivo S1 Pro สี Knight Black ดีไซน์ใหม่หมดจด
สมาร์ทโฟน Vivo S1Pro ที่เราได้มาทดสอบเป็นสี Knight Black ที่ดูสวยงาม ด้านหลังดีไซน์ใหม่ทั้งหมดจากกล้องที่เคยเรียงกันเป็นแนวเดียวกัน แต่ในรุ่นนี้ทำเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสที่แต่ละมุมจะมีเลนส์กล้องระยะต่างๆ เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ฝาหลังสีดำอาจจะดูเรียบๆ แต่เมื่อสะท้อนแสงจะเห็นเส้นมิติต่างๆ ที่ซ่อนอยู่สะท้อนออกมาดูสวยงามมาก ส่วนโลโก้ Vivo ก็ย้ายมาอยู่ตรงกลางของตัวเครื่อง เมื่อมองดูรวมๆ แล้วจะเห็นว่าทั้งกล้อง และโลโก้จะอยู่ในแนวเดียวกันตรงกลางพอดี
ด้านหน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ความละเอียด Full HD+ (1080 x 2340 พิกเซล) ที่แสดงผลได้เต็มขอบ มีขนาด 6.38 นิ้ว มีกล้องหน้าเป็น Notch อยู่ที่ส่วนบนของจอแสดงผล ซึ่งส่วนนี้ยังซ่อนลำโพงสนทนา และเซ็นเซอร์ต่างๆ อย่างแนบเนียน นอกจากนี้จอแสดงยังมีฟิล์มกันรอยติดมากจากโรงงานมาให้เลย เรียกได้ว่าแกะกล่องออกมา ใส่ซิมใส่เคสก็ใช้งานได้เลย ไม่ต้องไปหาร้านติดฟิล์มกันรอยให้เสียเงินเสียเวลา ส่วนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ใต้จอแสดงผล บริเวณส่วนล่างของหน้าจอ
สำหรับรุ่นนี้ก็มีฟังก์ชั่น Always on Display ที่สามารถเปิดแสดงผลนาฬิกา การแจ้งเตือนต่างๆ บนหน้าจอได้ตลอดเวลาโดยใช้แบตเตอรี่เพื่อการแสดงผลน้อยมาก ตัวเครื่องมีให้เลือกใช้งานถึง 18 แบบ สามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้เริ่มแสดงผลตั้งแต่กี่โมง ปิดกี่โมง ซึ่งหากเลือกเปิดเฉพาะกลางวัน และปิดตอนกลางคืนก็จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ไปได้อีก
ด้านข้างซ้ายของตัวเครื่องมีช่องใส่ถาดซิมการ์ด ซึ่งเป็นถาดแบบ Hybrid โดยช่อง SIM2 จะต้องเลือกระหว่างใส่ซิมการ์ด หรือการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD ส่วนด้านข้างขวามีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด/ปิดเครื่อง
ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ใกล้ๆ กันมีไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวน ส่วนด้านล่างเป็นช่องเสียบสายชาร์จแบบ USB-C มีช่องลำโพง และช่องไมโครโฟนรับเสียง
ถ่ายภาพได้คมชัดทุกระยะด้วย 4 กล้อง AI Quad CAMERA 48 ล้านพิกเซล
นอกจากจะมีกล้อง 3 เลนส์จาก S1 รุ่นแรกแล้ว S1 Pro ก็ยังอัพเกรดให้มีกล้อง Super Macro เพิ่มเข้ามาที่ด้านหลัง ช่วยให้ถ่ายภาพได้ครบทุกระยะอย่างสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง โดยกล้องหลังประกอบไปด้วยเลนส์ Wide ระยะปกติ 48 ล้านพิกเซล, เลนส์ Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, เลนส์ Depth 2 ล้านพิกเซล และกล้องที่เพิ่มเข้ามาคือเลนส์ Super Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซลที่สามารถถ่ายได้ใกล้ถึง 4 ซม. เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีระบบ AI ที่ช่วยปรับแต่งภาพให้มีสีสันสวยงาม หรือแม้กระทั่งปรับแต่งใบหน้า ทรวดทรงให้ดูกระชับขึ้น ดูผอมลงได้อีกต่างหาก
สำหรับโหมดการถ่ายภาพหลักๆ ก็มีให้เลือกถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุดถึง 48 ล้านพิกเซลพร้อมระบบ AI มีโหมด AR Stickers สำหรับถ่ายภาพพร้อมเอฟเฟ็คท์ลวดลายต่างๆ ให้เลือกมากมายเกือบ 90 แบบ นอกจากนี้ก็ยังมีโหมด Portrait, Panorama, SLO-MO, Time-lapse และ Pro ซูมภาพแบบ Optical ได้ 2 เท่า และยังซูมได้ถึง 10 เท่าด้วยระบบดิจิตอล
ในโหมดถ่ายภาพ Portrait ก็ยังมีลูกเล่นให้เลือกอีกไม่ว่าจะเป็น Face Beauty ที่สามารถปรับริ้วรอยบนใบหน้า, สีผิว, ความขาวของสีผิว, ปรับหน้ารูป V Shape, ปรับคาง, ปรับตาโต, ปรับความห่างของตา, ปรับหน้าผาก, ปรับจมูก, ปรับปีกจมูก, ปรับรูปปาก เยอะมาก และยังมีฟีเจอร์ Posture ที่เป็นเสมือนผู้ช่วยแนะนำการถ่ายภาพในท่าต่างๆ มากถึง 120 แบบ ถ้าคิดท่าถ่ายภาพไม่ออกเปิดโหมดนี้แล้วโพสท่าตามได้เลย นอกจากนี้แล้วยังมีตัวอย่างให้เลือกแบบถ่ายภาพคู่กับเพื่อน กับแฟน หรือถ่ายกันเป็นกลุ่ม คราวนี้ถ่ายภาพได้สนุกขึ้นแน่นอน สุดท้ายกับการถ่ายภาพภาพ Bokeh หน้าชัดหลังเบลอ เลือกปรับค่า F หรือค่ารูรับแสงได้กว้างถึง F/0.95 ไปจนถึง F/16 ซึ่งหากค่ายิ่งน้อยจะยิ่งทำให้พื้นหลังละลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากเราเลือกการถ่ายภาพในโหมดนี้สามารถนำภาพที่ถ่ายแล้วมาปรับความเบลอของพื้นหลังจนกว่าจะพอใจ และยังเลือกจุดโฟกัสความคมชัดได้อีกด้วย
กล้องหน้าที่ให้ความละเอียดมาสูงถึง 32 ล้านพิกเซลก็ยังสามารถใช้โหมด AI Beauty ที่สามารถปรับทุกส่วนของใบหน้าอย่างที่กล่าวไปแล้วได้หมดเลย ส่วนการถ่ายคลิปวิดีโอก็สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p
ตัวอย่างภาพจากกล้อง
ล้ำกว่าด้วยระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
ยังคงล้ำสมัยด้วยระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอเช่นเดียวกับรุ่นแรก สามารถใช้สแกนปลดล็อคหน้าจอ หรือเพื่อใช้ร่วมกับระบบความปลอดภัยอื่นๆ อย่างเช่นการใช้ร่วมกับแอพฯ ทำธุรกรรมทางการเงิน หรือซื้อแอพฯ เป็นต้น รองรับการจดจำลายนิ้วมือได้สูงสุด 5 นิ้ว และยังเลือก Animation ภาพเคลื่อนไหวเมื่อแตะนิ้วมือได้อีก 7 แบบจากการทดสอบปลดล็อคด้วยลายนิ้วมือบนหน้าจอทำได้รวดเร็ว น่าประทับใจทีเดียว นอกจากนี้ยังมีระบบปลดล็อคด้วยใบหน้าที่สามารถใช้งานควบคู่กันได้อีกด้วย เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว แต่ยังคงใช้ปลดล็อคได้ยากเมื่ออยู่ในที่มืด
ประสิทธิภาพ และการใช้งาน
ด้วยระบบปฏิบัติการ Funtouch OS บน Android 9 ที่ออกแบบอินเตอร์เฟสมาให้ดูสวยงาม ใช้งานง่าย ทำงานด้วยหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 665 Octa-core หรือ 8 แกนประมวลผล พร้อมระบบจัดการพลังงานที่ดีเยี่ยม เหมาะกับการใช้งานทั่วไป และเล่นเกมที่มีกราฟฟิคไม่หนักมากนัก มีหน่วยความจำ RAM 8 GB, ROM 128 GB และสามารถเพิ่ม microSD ได้อีก
สำหรับการเล่นเกมก็มีระบบ Vivo Multi-Turbo ช่วยเพิ่มความเร็ว และประสิทธิภาพในการเล่นเกม และเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความร้อนด้วย และยังมีฟีเจอร์ Ultra Game Mode ที่จะช่วยป้องกันการแจ้งเตือนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนจาก Social network ต่างๆ, การโทรศัพท์ที่จะทำงานเบื้องหลังเกม หรือจะเลือกปฏิเสธทุกสายที่โทรเข้ามาเลยก็ได้เช่นกัน และนอกจากนี้ตัวเครื่องยังดึงทรัพยากรทั้งหมดมาเพื่อประมวลผลเกมโดยเฉพาะ จึงทำให้การเล่นเกมลื่นไหล ไม่สะดุดทั้งภาพ หมดปัญหาเรื่องการแจ้งเตือนที่จะมาบดบัง และรบกวนสมาธิในการเล่นเกมด้วย นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Voice changer ที่สามารถเปลี่ยนเสียงสนทนาในเกมให้เป็นเสียงอื่นๆ ได้อย่างเช่นเสียงเด็ก หรือเสียงหุ่นยนต์ เป็นต้น
ชาร์จเร็วด้วย DUAL-ENGINE FAST CHARGING พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่
Vivo S1Pro มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 4,500 mAh ถือว่ามีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆ ใช้งานได้ยาวนานตลอดวันไม่ว่าจะเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง โดยที่แบตยังเหลืออีกใช้งานด้วย นอกจากแบตเตอรี่ขนาดใหญ่แล้ว ยังมีระบบชาร์จแบตเตอรี่ที่รวดเร็วที่เรียกว่า Dual-Engine Fast Charging กำลังไฟ 18 วัตต์ ชาร์จได้รวดเร็ว และปลอดภัย เครื่องไม่ร้อน
บทสรุป รีวิว VIVO S1 Pro จากความคิดเห็นทีมงาน WHAT PHONE
หากเทียบกับ S1 รุ่นก่อน Vivo S1 Pro ถือว่าพัฒนาออกมาได้ดีกว่าพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพในการใช้งานที่รวดเร็วกว่า หน่วยความจำมากขึ้นกว่าเดิม กล้องดิจิตอลที่ถ่ายได้ครบทุกระยะมากกว่าเดิมโดยเพิ่มเลนส์ Super Macro ที่ทำให้เราได้เห็นรายละเอียดต่างๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และที่โดดเด่นไปกว่ารุ่นก่อนคือดีไซน์ที่ดูเรียบหรู สวยงามกว่าเดิม ราคาเปิดตัวของรุ่นนี้อยู่ที่ 9,999 บาท ถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสเป็ค และฟังก์ชั่นการใช้งาน หากมองหาสมาร์ทโฟนราคากลางๆ Vivo S1 Pro รุ่นนี้ตอบโจทย์การใช้งานอย่างครบครันแน่นอน
ตัวอย่างภาพจากกล้อง