เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยเป็นรุ่นแรกของปีกับ vivo V23 5G หลังจากที่เปิดตัว V23e 5G ไปแล้วก่อนหน้านี้ที่ได้สร้างความประทับใจให้กับทีมงานไปแล้ว มาถึงรุ่นนี้กลับทำให้เราประทับใจมากขึ้นไปอีก ด้วยดีไซน์ที่ดูทันสมัย มาพร้อมกล้องหน้าแบบคู่ 50 ล้านพิกเซลรุ่นแรกของไทย และกล้องหลัง 64 ล้านพิกเซล มาแกะกล่องดูกันว่าประสิทธิภาพการใช้งานของรุ่นนี้เป็นอย่างไร
แกะกล่องลองเล่น vivo V23 5G
กล่องของ vivo V23 5G รุ่นนี้จะเหมือนกับ V23e รุ่นก่อน เพียงแต่ไม่มีตัวอักษร e ต่อท้าย ตัวกล่องออกแบบมาค่อนข้างสวย มีประกายระยิบระยับสะท้อนแสงเหมือนดวงดาวดูสวยงามมาก และที่มุมบนขวาของกล่องก็มีบอกหน่วยความจำมาให้ด้วย โดยรุ่นนี้มี RAM มาให้ถึง 12 GB และ ROM 256 GB และเมื่อแกะกล่องออกมาก็พบกับอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
- สมาร์ทโฟน vivo V23 5G สี Stardust Black (สีดำ)
- อแดปเตอร์ชาร์จไฟ vivo FlashCharge 44 วัตต์
- สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-C
- เคสซิลิโคนแบบใส
- หูฟังสมอลล์ทอล์คขนาด 3.5 มม.
- สายอแดปเตอร์แปลง USB-C เป็นพอร์ต 3.5 มม.
- ฟิล์มกันรอย (ติดมาจากโรงงาน)
- คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด
เหมือนเช่นเคยกับอุปกรณ์ที่แถมมาให้จนแน่นกล่อง โดยเฉพาะอุปกรณ์เสริมที่ไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นเคสใส, ชุดหูฟัง, ตัวแปลงหูฟัง 3.5 มม. เป็นพอร์ต USB-C และฟิล์มกันรอยแบบติดมาจากโรงงาน แกะกล่องออกมาใส่ซิมการ์ด ใส่เคสก็พร้อมใช้งานได้ทันที ไม่ต้องออกไปหาซื้ออะไรเพิ่มเติม ครบครันคุ้มค่าจริงๆ
vivo V23 5G สี Stardust Black ดีไซน์ระดับพรีเมี่ยม
การมาของ vivo V23 คราวนี้ถือเป็นการปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะการดีไซน์ขอบด้านข้างตัวเครื่องที่มาเป็นเหลี่ยม ให้ความรู้สึกมั่นใจเมื่อสัมผัสขณะใช้งาน ไม่ลื่นหลุดมือได้ง่าย ส่วนสีของตัวเครื่องที่เราได้มาทดสอบเป็นสี Stardust Black เมื่อสัมผัสบนพื้นผิวของด้านหลังของตัวเครื่องจะรู้สึกถึง Texture ที่เหมือนกับเม็ดทรายละเอียด เมื่อสะท้อนกับแสงจะเห็นถึงประกายแสงระยิบระยับเหมือนกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน นอกจากนี้ยังมีสีพิเศษอย่างสี Sunshine Gold ด้านหลังเป็นสีทองที่ทำจากวัสดุ Color Changing Glass ที่มีความพิเศษตรงที่การเปลี่ยนสีได้เมื่อโดนแสง UV ถือเป็นรุ่นแรกในไทยที่มีความพิเศษเช่นนี้
มาดูที่ด้านหน้ากันบ้าง จอแสดงผลของรุ่นนี้มีขนาด 6.44 นิ้ว ใช้จอภาพแบบ AMOLED ที่ให้ความสว่าง และสีสันสมจริง มีความละเอียดระดับ FHD+ หรือ 1080 x 2400 พิกเซล แสดงผลอย่างลื่นไหลด้วยอัตรารีเฟรช 90 Hz เหนือจอแสดงผลมีกล้องหน้าแบบ 2 เลนส์สำหรับเซลฟี่ในมุมปกติ และในแบบมุมกว้าง มีลำโพงสนทนา และเซ็นเซอร์ต่างๆ ที่ซ่อนอยู่อย่างแนบเนียน ส่วนล่างของจอยังมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ฝังไว้ใต้หน้าจอ สามารถใช้นิ้วมือวางบนหน้าจอเพื่อปลดล็อคได้อย่างรวดเร็ว จะสังเกตได้ว่ารุ่นนี้มีขอบหน้าจอที่บางมากๆ เรียกได้ว่าแทบจะเป็นจอแบบไร้ขอบเลยก็ว่าได้
ด้านหลังจะมีเพียงโลโก้ vivo และโมดูลของกล้อง 3 เลนส์ ที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมไฟแฟลชแบบ LED หากกังวลว่าจะเป็นริ้วรอยก็สามารถใส่เคสแบบซิลิโคนเพื่อป้องกันรอยขีดข่วนได้
ดีไซน์ขอบด้านข้างของรุ่นนี้เป็นแบบขอบเหลี่ยม มีความบางเพียง 7.39 มม. เท่านั้น ที่ด้านข้างซ้ายดีไซน์แบบโล่งๆ ไม่มีปุ่มกดใดๆ อยู่ฝั่งนี้ จะมีเพียงแถบสีดำเล็กๆ ซึ่งเป็นเสาอากาศรับสัญญาณต่างๆ จะเห็นได้ว่ามีเส้นแบบนี้รอบตัวเครื่องเพื่อให้รับสัญญาณได้รอบทิศทาง ส่วนที่ด้านข้างขวามีปุ่มปรับระดับเสียงสนทนา ถัดลงมาเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง
ที่ด้านบนมีเพียงช่องเล็กๆ เป็นไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนขณะสทนา ส่วนด้านล่างมีช่องใส่ถาดซิมการ์ด 2 ซิม เป็นถาดแบบประกบด้านบน ด้านล่าง ไม่สามารถเพิ่มการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD ได้ถัดมาเป็นช่องไมโครโฟนรับเสียงสนทนา, ช่องเสียบสายชาร์จแบบ USB-C และลำโพงสปีกเกอร์
เซลฟี่มุมกว้างด้วย Dual Camera 50 MP ใบหน้าสว่างใสด้วย Dual-Tone Spotlight
หากการถ่ายเซลฟี่จะมีแต่ใบหน้าของคุณเพียงอย่างเดียวคงจะแชร์ให้เพื่อนๆ รู้ไม่ได้ว่าเราไปเที่ยวที่ไหน แต่สำหรับ vivo V23 5G มีกล้องหน้า Dual camera ความละเอียดถึง 50 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี ISOCELL 3.0 ซึ่งมีมาให้ถึง 2 เลนส์ คือเลนส์ระยะปกติ และเลนส์ Super Wide Angle ที่สามารถเก็บภาพมุมกว้างได้มากถึง 105 องศา ไม่ว่าจะเซลฟี่เดียวๆ พร้อมวิวสวยๆ ด้านหลัง หรือเซลฟี่แบบกลุ่มก็เก็บภาพได้หมด นอกจากนี้ยังมีระบบ Eye Auto Focus ซึ่งจะช่วยโฟกัสดวงตา พร้อมทั้งใบหน้าให้คมชัดโดยอัตโนมัติ
ภาพตัวอย่างเปรียบเทียบกล้องหน้าด้วยเลนส์ Wide-Angle
นอกจากการถ่ายภาพเซลฟี่ตอนกลางคืนจะมี Soft light band ที่ใช้จอแสดงผลเปล่งแสงสีขาวนวลออกมาเพื่อให้ใบหน้าสว่างใสแล้ว ในรุ่นนี้ยังมี Dual-Tone Spotlight Selfie ซึ่งเป็นไฟ LED ที่อยู่เหนือจอแสดงผล 2 ดวงช่วยในการส่องสว่างใบหน้า สามารถปรับแสงสีขาวนวลได้ถึง 3 ระดับ ทำให้ใบหน้าสว่างใส หรือขาวนวลเป็นธรรมชาติ ถึงแม้ว่าจะเซลฟี่ในที่มืดก็ตาม
ในการถ่ายเซลฟี่ยังมีเทคโนโลยี HD Natural Portrait โดยการนำเอาเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการถ่ายภาพ ทำให้ภาพที่ออกมาดูสวยเนียนเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ต่างๆ ที่ใช้ในการถ่ายภาพด้วยกล้องหน้า ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสไตล์ของการถ่ายภาพ หรือจะเลือกฟิลเตอร์ในการถ่ายภาพ หรือเอฟเฟ็กต์แสงที่ทำให้การถ่ายภาพเซลฟี่ของคุณไม่เหมือนใคร และสำหรับในโหมดความงาม ซึ่งเป็นที่ถูกใจของสาวๆ หลายคน ในโหมดนี้สามารถปรับโทนสีผิว ปรับความเนียนของหน้า หรือจะเลือกปรับส่วนต่างๆ ของใบหน้าได้ ไม่ว่าจะเป็นปรับตาโต ปรับขนาดจมูก ปรับรูปปาก ปรับขนาดใบหน้า ได้ทั้งหมด และยังมีโหมดแต่งหน้ามาให้ด้วย ตื่นมาหน้าสดก็สวยได้เลยโดยไม่ต้องเมคอัพให้เสียเวลา ต้องขอบคุณเทคโนโลยี AI ที่ชาญฉลาดที่เข้ามาช่วยให้การถ่ายภาพเซลฟี่ดูสวย และเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งแอพฯ แต่งภาพอีกต่อไป
4K Selfie Video พร้อมระบบกันสั่น Steadiface
นอกจากความโดดเด่นในการถ่ายภาพด้วยกล้องหน้าที่มีฟีเจอร์มากมายให้ใช้งาน ในด้านการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าก็ทำได้ที่ความละเอียดสูงสุดถึง 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที และยังมาพร้อมฟีเจอร์ Steadiface ที่ทำให้การถ่าย Video Selfie ใบหน้าไม่สั่นไหว โดยกล้องจะพยายามทำโฟกัสที่ใบหน้าให้นิ่ง และคมชัดตลอดเวลา แต่การถ่ายด้วยฟีเจอร์ Steadiface นี้จะถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุดที่ Full HD 1080p เท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Dual-Tone Spotlight Selfie เข้ามาช่วยถ่ายวิดีโอแบบ Night Selfie ทำให้ได้ภาพที่นิ่ง และใบหน้าสว่างใสตลอดเวลา
ตัวอย่างการถ่าย Selfie Video พร้อมระบบกันสั่น Steadiface
กล้องหลัง 64 MP AI Triple Camera
ในการถ่ายภาพด้วยกล้องหลังที่มีความละเอียดมาให้สูงถึง 64 ล้านพิกเซล มีให้เลือกใช้งานถึง 3 เลนส์ แต่ละเลนส์ก็มีคุณสมบัติในการถ่ายภาพแตกต่างกันออกไป โดยกล้องทั้ง 3 เลนส์ก็มีสเป็คดังต่อไปนี้
- เลนส์หลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.89
- เลนส์ Ultra-wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 120 องศา รูรับแสงกว้าง f/2.2
- เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
สำหรับการถ่ายภาพด้วยกล้องเลนส์หลักที่มีความละเอียด 64 ล้านพิกเซล หากถ่ายภาพในโหมดปกติ กล้องจะทำการปรับความละเอียดในการถ่ายไว้ที่ 16 ล้านพิกเซล โดยการนำเอา 4 พิกเซล รวมเป็น 1 พิกเซล เพื่อให้การรวมแสง และรวมสีสันให้ได้มากที่สุด ทำให้ภาพสว่าง สีสันสวยงามกว่าเดิม อีกทั้งยังทำให้ไฟล์รูปภาพมีขนาดเล็กลง ไม่เปลืองพื้นที่หน่วยความจำ แต่หากต้องการปรับความละเอียดไปที่สูงสุดที่ 64 ล้านพิกเซลก็ทำได้ในโหมด High resolution เหมาะกับการนำภาพไปขยายเป็นโปสเตอร์ขนาดใหญ่ ไม่สูญเสียรายละเอียดของภาพ
กล้องของ vivo V23 5G มีโหมดการถ่ายภาพให้เลือกใช้งานหลากหลายรูปแบบตามความเหมาะสม และสถานะการณ์ มีโหมดให้เลือกถ่ายแบบกลางคืน, การถ่ายภาพบุคคล, Panorama, Live Photo, Slo-Mo, Time-lapse, Pro, AR Stickers, Document, Double Exposure และยังมีให้เลือกเปิดระบบ AI ที่จะเข้ามาช่วยในการถ่ายภาพ โดยระบบจะวิเคราะห์ภาพถ่ายว่ากำลังจะถ่ายอะไร และจะทำการปรับแต่งความสว่าง สีสันให้โดยอัตโนมัติโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องแต่งนำภาพไปแต่งเพิ่มเติมเลย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง
และสำหรับการถ่าย Portrait หรือการถ่ายภาพบุคคลก็สามารถเบลอฉากหลังเพื่อให้บุคคลดูโดดเด่นได้อย่างสมจริง สามารถปรับรูรับแสงได้กว้างถึง f/0.95 ไปจนถึง f/16 (ตัวเลขน้อย ฉากหลังยิ่งเบลอมากขึ้น) นอกจากนี้ยังสามารถนำภาพที่ถ่ายเสร็จแล้วมาเลือกปรับความคมชัดเฉพาะจุดได้อีกด้วย
ไม่หวั่นแม้ที่แสงน้อยด้วย AI Extreme Night และ Bokeh Flare Portrait
ระบบ AI ของกล้องยังมีส่วนเข้ามาช่วยในการถ่ายภาพตอนกลางคืน ซึ่งจะช่วยปรับเพิ่มความสว่างให้กับภาพอย่างเหมาะสม และยังมีโหมดถ่ายภาพ Bokeh ที่ไม่เหมือนใคร ช่วยให้การถ่ายภาพตอนกลางคืนได้ง่าย และสนุกขึ้นด้วยโหมด Bokeh Flare Portrait ที่นอกจากจะถ่ายภาพละลายฉากหลังได้อย่างสวยงาม ทำให้ภาพบุคคลดูโดดเด่นแล้ว ยังสามารถปรับเปลี่ยนดวงไฟเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังให้กลายเป็นรูปอื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปหัวใจ, รูปดวงดาว, รูปผีเสื้อ หรือรูปดอกซากุระ ทำให้ภาพออกมาดูแปลกตาไม่เหมือนใคร
ถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้ากล้องหลังพร้อมกันด้วย Dual-View Video
บางครั้งการถ่ายวิดีโอก็ต้องเลือกว่าจะให้เห็นสถานที่จริง หรือให้เห็นหน้าเรา แต่สำหรับ vivo V23 5G สามารถถ่ายด้วยกล้องหน้า และกล้องหลังพร้อมกับนำภาพมาซ้อนกันให้โดยอัตโนมัติ เหมาะกับการถ่ายรีวิวสถานที่ หรือสินค้าสำหรับ YouTuber หรือ Vlog โดยสามารถแบ่งกล้องหน้า กล้องหลังให้มีขนาดเท่าๆ กัน หรือจะใช้กล้องหน้าเป็นป๊อปอัพ แล้วใช้กล้องหลังเป็นภาพใหญ่เต็มจอได้โดยไม่ต้องนำคลิปไปตัดต่อภายหลัง และยังมีลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ อย่างภาพป๊อปอัพมีให้เลือกเป็นสี่เหลี่ยม, วงกลม หรือรูปหัวใจเพิ่มเข้ามาเป็นลูกเล่นในการถ่ายวิดีโอด้วย
วิดีโอตัวอย่างการถ่าย Dual-View Video 3.0
อัพเกรดขั้นสุดด้วยชิพ Dimensity 920 เพิ่ม RAM ได้อีกสูงสุด 4 GB
เป็นที่ยอมรับแล้วว่าชิพประมวลผล MediaTek Dimensity มีประสิทธิภาพความแรงไม่แพ้ใคร อีกทั้งยังใช้พลังงานต่ำ เครื่องไม่ร้อน โดยรุ่นนี้ได้อัพเกรดใช้ชิพ Dimensity 920 แบบ Octa-core สถาปัตยกรรมการผลิต 6 นาโนเมตร ความเร็ว 2.5 GHz มาพร้อม RAM ขนาดใหญ่ 12 GB และยังสามารถเพิ่มอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยี Extend RAM 2.0 ได้อีกสูงสุด 4 GB รวมเป็น 16 GB โดยดึงหน่วยความจำหลักมาใช้งานตามความเหมาะสม จึงรองรับการใช้งานร่วมกับแอพฯ ที่ต้องการใช้พื้นที่หน่วยความจำสูง และยังรองรับการเปิดแอพฯ พร้อมกันได้หลายแอพฯ โดยที่ระบบโหลดใหม่ให้เสียเวลา และสำหรับหน่วยความจำ ROM ก็มีขนาดใหญ่ถึง 256 GB สามารถเก็บไฟล์ต่างๆ ได้อย่างจุใจ
สำหรับการทำงานของรุ่นนี้ใช้ FunTouch 12 บนพื้นฐานระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่น 12 ซึ่งถือว่าเป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่สุดในเวลานี้ มาพร้อมฟีเจอร์เด่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Split Screen ที่สามารถเปิดแอพฯ ได้พร้อมกัน 2 แอพฯ บนหน้าจอเดียว เพียงแค่ใช้ 3 นิ้วแตะหน้าจะแล้วเลื่อนขึ้นก็สามารถเปิดแอพฯ ได้เพิ่มอีก 1 แอพฯ อย่างเช่นเปิดดูเบราเซอร์หาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตที่หน้าจอครึ่งบน ส่วนครึ่งล่างก็สามารถเปิด YouTube ดูคลิปวิดีโอได้ในเวลาเดียวกัน
และในการเล่นเกมที่ต้องการสมาธิ และความแรงของหน่วยประมวลผลก็มี Ultra Game Mode และ Multi-Turbo ที่จะช่วยจัดสรรทรัพยากรต่างๆ ในเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่หน่วยความจำ RAM, จัดลำดับความสำคัญของ CPU ให้ประมวลผลเกมเป็นอันดับแรก และช่วยปิดการแจ้งเตือนต่างๆ โดยเฉพาะใน Esports Mode ที่จะปิดการแจ้งเตือนทั้งหมด รวมไปถึงสายโทรเข้าต่างๆ ไม่ให้รบกวนการเล่นเกม นอกจากนี้ยังมีระบบ Liquid Cooling เข้ามาช่วยระบายความร้อนขณะเล่นเกมได้อีกด้วย
และในการทดสอบเล่นเกม 3D แบบหนักๆ อย่างเช่นเกม PUBG Mobile ที่เราใช้ทดสอบเป็นประจำก็สามารถปรับภาพกราฟฟิคไปได้สูงสุดที่ระดับ HDR และสามารถปรับเฟรมเรทได้ที่ระดับสูงสุด Ultra ถือว่าปรับความละเอียดได้ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว
จากการทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผลด้วยแอพพลิเคชั่น Antutu 3D Benchmark เวอร์ชั่น 9.2.6 สามารถทำคะแนนได้ 486,742 คะแนน
และสำหรับการทดสอบด้วยแอพฯ Geekbench 5 ก็สามารถทคะแนน Single-core ได้ 745 คะแนน และ Multi-core ได้ 2115 คะแนน โดยจากการทดสอบประสิทธิภาพความแรงถือว่าทำได้ค่อนข้างดี สามารถใช้ทำงานทั่วไป หรือจะเล่นเกม 3D แบบหนักๆ ก็ยังเล่นได้สบายๆ
รองรับ 5G แบบ SA และ NSA พร้อมรองรับ 5G Dual-Mode
สำหรับการใช้งาน 5G ของ vivo V23 5G ก็รองรับ Dual mode ทั้งแบบ SA (Stand Alone) และ NSA (Non-Stand Alone) โดยผู้ใช้สามารถเลือกได้จากเมนูการตั้งค่าเครือข่ายว่าจะใช้ 5G แบบไหน อีกทั้งยังสามารถเลือกได้ว่าจะใช้งาน 5G บนเครือข่ายด้วย SIM1 หรือ SIM2 ได้โดยไม่ต้องถอดซิมการ์ดออกมาสลับตำแหน่ง ทำให้ใช้งานได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ตัวเครื่องยังถูกออกแบบมาให้มีเสารับสัญญาณได้รอบทิศ 360 องศา ทำให้รับสัญญาณได้อย่างเต็มที่ ไม่มีสะดุด
โดยจากการทดสอบความเร็วบนเครือข่าย True Move H ก็สามารถทำความเร็วได้ประมาณ 222 Mbps แต่การทดสอบความเร็ว 5G แต่ละครั้งก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ เวลาใช้งาน และความหนาแน่นในการใช้งานในพื้นที่นั้นๆ ด้วย
ชาร์จเร็วด้วย vivo FlashCharge 44 วัตต์
ในด้านการชาร์จแบตเตอรี่ก็มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน ภายในกล่องมีอแดปเตอร์ vivo FlashCharge ชาร์จแบตเตอรี่กำลังไฟถึง 44 วัตต์ ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยในด้านการปล่อยกระแสไฟฟ้า จึงสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็ว และมั่นใจ โดยแบตเตอรี่ของ vivo V23 5G มีความจุ 4200 mAh หากเทียบกับขนาดที่กะทัดรัดถือว่ามีความจุค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับขนาดตัวเครื่อง จากการทดสอบชาร์จจากแบตเตอรี่เหลือ 1% ใช้เวลาเพียง 20 นาทีก็ชาร์จได้ถึง 44% เกือบครึ่งของความจุแบตเตอรี่ และหากปล่อยให้ชาร์จจนเต็ม 100% ก็ใช้เวลาเพียง 62 นาทีเท่านั้น จะเห็นได้ว่าเมื่อแบตเตอรี่ใกล้เต็ม ระบบจะทำการปรับกระแสให้ต่ำลงโดยอัตโนมัติเพื่อความปลอดภัย และช่วยลดความร้อน พร้อมกับถนอมแบตเตอรี่ไปด้วยในตัว
บทสรุปรีวิว vivo V23 5G จากความเห็นของ What Phone
สิ่งแรกที่เราประทับใจกับ vivo V23 5G คือดีไซน์ใหม่สี Stardust Black การออกแบบที่เรียบหรู พรีเมี่ยม กับขอบด้านข้างดีไซน์เหลี่ยมที่ทำให้จับได้ถนัดมือ จอแสดงผลก็ดีไซน์เต็มขอบมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงดีไซน์ภายนอก แต่ประสิทธิภาพภายในก็แรงไม่ธรรมดา ด้วยชิพประมวลผล Dimensity 920 รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพเร็วแรง รองรับ 5G และที่ไม่พูดถึงไม่ได้นั่นก็คือกล้องหน้าจากเดิมรุ่นก่อนๆ ก็ทำมาดีอยู่แล้ว มาถึงรุ่นนี้มีเพิ่มมาให้ 2 เลนส์ โดยเฉพาะเลนส์ Wide ของกล้องหน้ามีประโยชน์มาก ใช้งานได้จริง เก็บภาพเซลฟี่หมู่ได้หมด หรือหากถ่ายเดี่ยวๆ ตอนกลางคืนก็มีไฟแฟลชให้ด้วย ถูกใจสาวๆ อย่างแน่นอน และส่วนกล้องหลังก็มีมาให้ทุกระยะตั้งแต่มุมกว้าง ไปจนถึงถ่ายใกล้ระดับ Macro โดยรวมแล้วถือว่าครบครัน ครบเครื่อง ส่วนราคาเปิดตัว 17,999 บาท อาจจะดูสูงไปสักนิด แต่ถ้าเทียบกับฟังก์ชั่นที่ได้ถือว่าคุ้มค่าสมกับที่รอคอยจริงๆ
สรุปสเป็ค และจุดเด่นของ vivo V23 5G
- ขนาด 157.2 × 72.42 × 7.39 มม., น้ำหนัก 179 กรัม
- หน้าจอ AMOLED FHD+ ขนาด 6.44 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2400 พิกเซล
- ปรับรูปแบบการแสดงผลอัตโนมัติด้วย Refresh rate สูงสุด 90 Hz
- หน่วยประมวลผล MediaTek Dimensity 920 Octa-core 2.5 GHz
- ระบบปฏิบัติการ Funtouch 12 บนพื้นฐาน Android เวอร์ชั่น 12
- หน่วยความจำ RAM 12 GB, ROM 256 GB
- สามารถดึงหน่วยความจำ ROM มาเพิ่มหน่วยความจำ RAM ได้อีก 4 GB
- หน่วยประมวลผลภาพ 3D Mali-G68 MC4
- รองรับเครือข่าย 4G LTE และ 5G รองรับ SA และ NSA แบบ Dual Mode
- กล้องหน้า 2 เลนส์
- กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0
- กล้องเลนส์ Wide Angle 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.28
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องเลนส์หลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.89
- กล้องเลนส์ Ultra-wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 120 องศา รูรับแสงกว้าง f/2.2
- กล้องเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- แบตเตอรี่ 4200 mAh ชาร์จเร็ว FlashCharge กำลังไฟ 44 วัตต์
- รองรับการเชื่อมต่อ WiFi ความถี่ 2.4/5 GHz และ Bluetooth 5.2
- มีให้เลือก 2 สี Stardust Black, Sunshine Gold
- ราคาเปิดตัว 17,999 บาท
ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง