Redmi Note 10 Series เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยไปแล้วเมื่อไม่กี่วันนี้ และวันนี้ทีมงาน What Phone ก็ได้โอกาสดีที่ทาง Xiaomi ส่งเครื่อง รีวิว Redmi Note 10 มาให้เราได้ทดสอบ โดยเครื่องที่เราได้มานั้นเป็นรุ่น Note 10 ที่เปิดราคามาอย่างคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสเปคที่ได้ และก็เป็นธรรมเนียมของเราที่จะต้องแกะกล่องดูกันก่อนว่าข้างในมีอะไรมาให้เราใช้งานบ้าง มาดูกันเลยครับ
แกะกล่อง รีวิว ลองเล่น Redmi Note 10
แพ็คเก็จของ Redmi Note 10 ถูกออกแบบมาให้ดูโล่ง สีขาวดูสะอาดตา เมื่อแกะกล่องออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ที่ครบถ้วนดังนี้
- สมาร์ทโฟน Redmi Note 10 สี Onyx Gray
- สายชาร์จแบบ USB-C
- อแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ 33 วัตต์
- เคสซิลิโคนแบบใส
- คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
โดยปกติแล้ว อุปกรณ์ภายในกล่องของ Xiaomi ไม่ว่าจะเป็น Mi Series, Redmi Series จะไม่มีหูฟังแถมมาให้ แต่เชื่อว่าผู้ใช้งานมักจะมีหูฟังประจำตัวติดเอาไว้อยู่แล้ว หรือหากไม่มีก็สามารถเลือกซื้อหูฟังแบบมีสาย หรือหูฟังแบบไร้สายก็ได้เช่นกัน ซึ่ง Xiaomi ก็มีหูฟัง True Wireless ในราคาไม่ถึงพันบาท ผู้ใช้สามารถเลือกซื้อมาใช้งานเพิ่มเติมได้ ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ อย่างเช่นเคสใสแบบซิลิโคน อแดปเตอร์ชาร์จเร็วแบตเตอรี่ก็มีมาให้อย่างครบครัน ไม่ได้ถูกตัดออกแต่อย่างใด
ดีไซน์ระดับแฟล็คชิป หรูหราพรีเมี่ยมในราคาเบาๆ
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช้สมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยม หรือระดับ Flagship แต่ด้วยดีไซน์ และวัสดุของ Redmi Note 10 ที่มีราคาเริ่มต้นไม่ถึงห้าพันบาทถือว่าเกินราคามากๆ ด้านหน้าใช้กระจกกันรอยอย่าง Gorilla Glass 3 ส่วนด้านหลังเป็นใช้วัสดุเป็นพลาสติกใสที่ดูไม่ต่างกับวัสดุแบบกระจกใส โดยรวมแล้วดีไซน์ของรุ่นนี้ทำออกมาได้อย่างพรีเมี่ยมลงตัว ในราคาที่เอื้อมถึง
มาดูที่ด้านหน้ากันบ้าง สำหรับรุ่นนี้มีจอแสดงผลขนาดใหญ่ 6.43 นิ้ว เป็นจอภาพแบบ DotDisplay มีกล้องหน้าแบบเจาะรูขนาดค่อนข้างเล็กอยู่ที่ตรงกลางของหน้าจอ เหนือจอแสดงผลมีลำโพงสนทนา และเซ็นเซอร์ต่างๆอยู่บริเวณนี้ จอภาพเป็นแบบ AMOLED ที่ให้สีสันสดใสสวยงาม มีความละเอียด FHD+ หรือที่ความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล อัตรา Refresh rate อยู่ที่ 60 Hz มีระบบตัดแสงสีฟ้า และฟีเจอร์ Night mode ที่จะช่วยเปลี่ยนพื้นหลังจากสีขาวเป็นสีดำ นอกจากจะช่วยประหยัดแบตเตอรี่แล้ว ยังช่วยถนอมสายตาด้วย
จอแสดงผลแบบ AMOLED ของรุ่นนี้ยังรองรับการใช้งาน Always on Display ซึ่งจะเป็นการแสดงผลนาฬิกา หรือภาพกราฟฟิคต่างๆ บนหน้าจอขณะสแตนด์บาย ซึ่งฟีเจอร์นี้จะใช้พลังงานเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เราสามารถดูนาฬิกา หรือตั้งภาพกราฟฟิค หรือเลือกแสดงข้อความบ่งบอกความเป็นตัวเองได้ด้วย และฟีเจอร์นี้ยังเลือกตั้งเวลาแสดงผลเฉพาะตอนกลางวัน ปิดตอนกลางคืนเพื่อประหยัดพลังงานก็ได้ด้วยเช่นกัน
ด้านหลังสี Onyx Gray เป็นการไล่สีเทา ไล่เฉดไปสีเทาเข้ม หรือสีดำ และเมื่อสะท้อนแสงก็จะเห็นความเข้มของเฉดสีเทาในมุมต่างๆ ดูสวยงามน่าค้นหามาก ส่วนกล้องหลังมีมาให้ถึง 4 เลนส์ พร้อมไฟแฟลชแบบ LED
ถาดใส่ซิมการ์ดอยู่ที่ด้านข้างซ้าย ตัวถาดเป็นแบบ 3 ช่อง สามารถใส่ซิมการ์ดได้ 2 ใบ และการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD ได้พร้อมกันทั้งหมด ไม่ต้องสลับ SIM2 ไปมาเหมือนรุ่นอื่น
ส่วนที่ด้านข้างขวามีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดปิดเครื่องที่ทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไปด้วยในตัว ซึ่งดีไซน์ของปุ่มนี้จะนูนขึ้นมารับกับนิ้วมือ ทำให้เปิดปิดเครื่อง และสแกนลายนิ้วมือได้สะดวกกว่ารุ่นอื่นๆ
ที่ด้านบนมีลำโพงสปีกเกอร์ ทำงานร่วมกับลำโพงที่อยู่ด้านล่าง ให้เสียงแบบสเตอริโอแยกซ้ายขวาชัดเจน ถัดมามีพอร์ตอินฟราเรดสำหรับสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้า ทำงานร่วมกับแอพฯ รีโมทที่มีมาให้ในเครื่อง ใกล้ๆ กันมีช่องไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน
ส่วนด้านล่างมีช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม. ถัดมาเป็นช่องไมโครโฟนรับเสียงสนทนา, ช่องเสียบสายชาร์จแบบ USB-C และลำโพงแบบสเตอริโอ
เร็วแรงด้วยชิพเซ็ต Snapdragon 678
ด้วยหน่วยประมวลผลชิพเซ็ต Qualcomm Snapdragon 678 Octa-core ความเร็ว 2.2 GHz ชิพประมวลผลภาพ 3D อย่าง Adreno 612 ที่รองรับการเล่นเกมภาพ 3 มิติความละเอียดสูงได้อย่างลื่นไหล พร้อมด้วยเทคโนโลยีหน่วยความจำ RAM LPDDR4X ขนาด 6 GB ที่สามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็ว รองรับแอพฯ ที่ใช้หน่วยความจำขนาดใหญ่ มีหน่วยความจำ ROM ก็มาพร้อมเทคโนโลยี UFS 2.2 ขนาด 128 GB รองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สามารถเก็บภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และไฟล์ข้อมูลได้อย่างจุใจ และยังมีรุ่น RAM 4 GB, ROM 64 GB ที่มีราคาถูกกว่าให้เลือกด้วย
ในการใช้งานของ Redmi Note 10 ทำงานบนพื้นฐานระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่น 11 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด และยังทำงานบน MIUI เวอร์ชั่น 12 ซึ่งตอนนี้ในวันที่รีวิวมีอัพเดทย่อยไปจนถึงเวอรั่น 12.0.2 แล้ว และยังคงมีอัพเดทความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องจาก Xiaomi ด้วย
สำหรับการทดสอบด้วยแอพฯ Antutu 3D และ Geekbench 5 ที่เราใช้ทดสอบเป็นประจำก็ทำคะแนนได้อย่างน่าพอใจ โดยแอพฯ Antutu สามารถทำได้ถึง 241,281 คะแนน
ส่วนแอพฯ Geekbench 5 ทำคะแนน Single core ได้ 542 คะแนน และ Multi core ได้ถึง 1639 คะแนน ถือว่าทำคะแนนได้ดีกว่าสมาร์ทโฟนในราคาระดับเดียวกันพอสมควร
จากการทดสอบเล่นเกมที่ใช้ภาพกราฟฟิคหนักๆ อย่าง PUBG Mobile ที่เราใช้ทดสอบอยู่เป็นประจำพบว่าสามารถเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล อีกทั้งยังเลือกปรับไปได้ที่ความละเอียดระดับ HD และในการเล่นเกมยังมีฟังก์ชั่น Game Turbo ที่จะเข้ามาช่วยจัดสรรทรัพยากรในเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยประมวลผล และหน่วยความจำเพื่อนำมาใช้เล่นเกมโดยเฉพาะแล้ว อีกทั้งยังเข้ามาช่วยจัดการการแจ้งเตือนต่างๆ เพื่อไม่ให้รบกวนการเล่นเกมอีกด้วย
กล้องหลัง 4 เลนส์ 48 ล้านพิกเซล คมชัดทุกระยะ
ในราคาระดับนี้นอกจากดีไซน์ วัสดุที่เกินราคาแล้ว กล้องหลังของรุ่นนี้ก็ยังมีมาให้ถึง 4 เลนส์เลยทีเดียว สามารถถ่ายภาพได้คมชัดทุกะยะ ทั้งมุมกว้าง ถ่ายใกล้ ไกลก็ทำได้หมด มาดูสเป็คกล้องว่าแต่ละเลนส์ทำหน้าที่อะไร
- กล้องหลักเลนส์ Wide ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.79 ระบบกันสั่น OIS
- กล้องเลนส์ Ultra-wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 118 องศา รูรับแสงกว้าง f/2.2
- กล้องเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้องเลนส์ Depth sensor ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้องหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.45
ในการถ่ายภาพในโหมดปกติจะถ่ายด้วยกล้องเลนส์ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล แต่ภาพที่ได้จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ซึ่งจะทำให้ไฟล์ใหญ่ตามไปด้วย ดังนั้นการถ่ายแบบปกติจะถูกลดลงเหลือเพียง 12 ล้านพิกเซล แต่ก็ยังคงใช้ประโยชน์จาก 48 ล้านพิกเซล โดยใช้ 4 พิกเซลรวมเป็น 1 พิกเซล ทำให้เซ็นเซอร์เก็บแสงได้มากขึ้น และยังช่วยให้ภาพสว่างขึ้นอีกด้วย
โหมดการถ่ายภาพของรุ่นนี้ก็มีให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ Slow motion มีให้เลือกตั้งแต่ 120 สูงสุด 480 เฟรมต่อวินาที, การถ่ายภาพ Portrait ที่สามารถปรับหลังเบลอได้ มีเอฟเฟ็คท์ต่างๆ ให้เลือกมากถึง 9 แบบ, การถ่ายภาพ Night mode, Panorama และโหมด Pro นอกจากนี้ยังมีฟิลเตอร์ให้เลือกมากกว่า 50 แบบ และมีโหมด Beauty ที่ช่วยปรับใบหน้าให้เนียนขึ้นอีกด้วย ส่วนการถ่ายภาพด้วยกล้องหน้าก็มีความละเอียด 20 ล้านพิกเซล มีโหมด AI Portrait ที่จะละลายฉากหลังได้ด้วยกล้องเพียงตัวเดียว มีโหมดแต่งหน้าเนียน หรือโหมด Beauty สำหรับสาวๆ มาให้เช่นเคย
ความพิเศษของการแต่งภาพด้วย Redmi Note 10 สามารถเปลี่ยนให้มีท้องฟ้ามีเมฆ มีดวงดาว ทางช้างเผือก หรือแม้กระทั่งใส่พระจันทร์เต็มดวงให้กับภาพก็ได้ด้วยฟีเจอร์ AI SkyScaping 3.0
เปลี่ยนท้องฟ้าเป็นภาพคลิปวิดีโอในโหมด Dynamic โดยเปลี่ยนให้เป็นก้อนเมฆเคลื่อนไหว หรือเปลี่ยนเป็นจุดพลุเฉลิมฉลองก็ได้
ลบภาพบุคคล หรือสิ่งอื่นๆ ที่ไม่ต้องการออกจากภาพได้ด้วยฟังก์ชั่น AI Eraser 2.0
สำหรับการถ่ายวิดีโอสามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุดถึง 4K 30 เฟรมต่อวินาที หรือสามารถปรับไปได้ที่ FullHD 1080p จะถ่ายได้ที่ 60 เฟรมต่อวินาที ส่วนกล้องหน้าถ่ายได้ที่ความละเอียด FullHD 1080p 30 เฟรมต่อวินาที
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง
แบตเตอรี่ 5000 mAh พร้อมอแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 33 วัตต์
ด้วยตัวเครื่องที่มีขนาดกะทัดรัด บางเพียง 8.29 มม. แต่แบตเตอรี่ของรุ่นนี้มีขนาดใหญ่ถึง 5000 mAh ใช้งานได้ยาวนานตลอดทั้งวัน จะดูหนัง ฟังเพลงแบตเตอรี่ขนาดนี้ก็เอาอยู่ หากเล่นเกมแบบหนักๆ ก็อาจจะใช้งานได้ไม่ถึงวัน แต่ข้อดีของรุ่นนี้ก็ยังมีระบบชาร์จเร็ว 33 วัตต์ พร้อมอแดปเตอร์แถมมาให้ในกล่อง สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็วทันใจ
จากการทดสอบชาร์จจาก 1% เพียง 10 นาทีก็ได้แบตเตอรี่มาถึง 20% และเพียงครึ่งชั่วโมงก็ได้มาถึง 50% ถือว่าเร็วมากๆ แต่หากถึง 100% จะใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ เท่านั้นเอง
บทสรุป รีวิว Redmi Note 10 จากความเห็นของ What Phone
จากการสัมผัสสมาร์ทโฟนมาหลายรุ่นต้องบอกว่า Redmi Note 10 เป็นสมาร์ทโฟนที่ให้มาเกินราคามากๆ ซึ่งในราคาเริ่มต้นเพียง 4,999 บาทสำหรับรุ่นหน่วยความจำ 4/64 GB ถือว่าทาง Xiaomi กดราคาลงมาได้ต่ำมากๆ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ วัสดุที่ใช้ สเป็คหน่วยประมวลผลถือว่าเกินราคาจริงๆ อีกทั้งยังมีหน้าจอแบบ AMOLED ที่ใช้ในสมาร์ทโฟนราคาแพง มีกล้องมาให้ถึง 4 เลนส์ มีระบบชาร์จเร็ว 33 วัตต์พร้อมอแดปเตอร์ในกล่อง ในราคาระดับนี้ถือว่าคุ้มมากๆ หรือถ้าใช้งานหนักขึ้นมาหน่อยอาจจะขยับมารุ่น 6/128 GB ซึ่งเป็นรุ่นที่เราได้มาทดสอบก็ได้เช่นกัน ได้หน่วยความจำเพิ่มด้วยในราคา 5,999 บาท หรือจะขยับไปรุ่น Redmi Note 10 Pro ก็ได้เช่นกัน แต่สำหรับ Redmi Note 10 รุ่นนี้ถือเป็นอีกรุ่นที่เราต้องนำมาแนะนำในความคุ้มค่ากันเลยทีเดียว
สรุปสเป็ค
- ขนาด 160.46 x 74.5 x 8.29 มม. นัำหนัก 178.8 กรัม
- รองรับเครือข่าย 4G LTE
- หน้าจอ AMOLED FHD+ ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียด 2440 x 1080 พิกเซล, แสดงผล 60 Hz
- หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 678 Octa-core ความเร็ว 2.2, Adreno 612 GPU
- ระบบปฏิบัติการ Android 11, MIUI 12
- หน่วยความจำมีให้เลือก 2 รุ่น 4/64 GB และ 6/128 GB
- ระบบปลดล็อคด้วยสแกนลายนิ้วมือที่ปุ่มด้านข้าง และปลดล็อคด้วยใบหน้า
- กล้องหลัง 4 เลนส์
- กล้องหลักเลนส์ Wide ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.79 ระบบกันสั่น OIS
- กล้องเลนส์ Ultra-wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 118 องศา รูรับแสงกว้าง f/2.2
- กล้องเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้องเลนส์ Depth sensor ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- ถ่ายวิดีโอความละเอียด Full HD 1080p 60 เฟรมต่อวินาที
- กล้องหน้า
- กล้องหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.45
- แบตเตอรี่ 5000 mAh ชาร์จเร็วด้วยอแดปเตอร์ 33 วัตต์
- พอร์ตอินฟราเรดสำหรับสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้า
- รองรับ WiFi รองรับความถี่ 2.4 GHz และ 5 GHz 802.11 a/b/g/n/ac
- มีให้เลือก 3 สี Onyx Gray, Pebble White, Lake Green
- ราคาเปิดตัว
- รุ่นหน่วยความจำ 4/64 GB 4,999 บาท
- รุ่นหน่วยความจำ 8/256 GB 5,999 บาท
ตัวอย่างภาพจากกล้อง