หลายคนอาจเข้าใจว่าการเช็กเบี้ยประกันรถยนต์เป็นเรื่องง่าย แค่กรอกข้อมูลรถยนต์แล้วรอราคาจากบริษัทประกัน แต่ความจริงแล้ว หากคุณรู้ข้อมูลพื้นฐานบางอย่างก่อน จะช่วยให้การเปรียบเทียบเบี้ยประกันแม่นยำ ตรงจุด และเลือกความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ได้มากกว่าเดิม บทความนี้จึงขอพาไปดู 5 เช็กลิสต์สำคัญที่ควรเตรียมก่อนกดเช็กเบี้ยประกันรถยนต์ ไม่ว่าคุณจะซื้อประกันใหม่หรือกำลังต่ออายุก็ห้ามพลาด
- รู้ประเภทของประกันภัยรถยนต์ให้ชัดก่อน
ก่อนเช็กเบี้ยประกันรถยนต์คุณควรรู้ก่อนว่า “ประกันชั้นไหนเหมาะกับการใช้งานของคุณ” เพราะแต่ละประเภทให้ความคุ้มครองแตกต่างกัน เช่น
- ประกันชั้น 1 เหมาะกับรถใหม่ หรือรถที่มีมูลค่าสูง ให้ความคุ้มครองครบทั้งรถเรา รถคู่กรณี และรถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม
- ประกันชั้น 2+ เหมาะกับรถอายุเกิน 5 ปี ที่ยังต้องการความคุ้มครองรถหาย และอุบัติเหตุแบบมีคู่กรณี
- ประกันชั้น 3+ คุ้มครองเมื่อมีคู่กรณีแต่ไม่ครอบคลุมรถหาย เหมาะกับรถที่ใช้งานไม่บ่อยหรือรถที่เน้นประหยัด
- ประกันชั้น 3 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองขั้นพื้นฐาน เฉพาะความเสียหายของบุคคลภายนอก
หากรู้ประเภทประกันที่ต้องการ จะช่วยให้การเช็กเบี้ยประกันรถยนต์มีจุดมุ่งหมาย ไม่หลงประกันราคาถูกที่ไม่ครอบคลุมจริง
- รายละเอียดรถต้องครบและตรง
ข้อมูลรถที่ใช้เช็กเบี้ยประกันรถยนต์ควรเป็นข้อมูลจริง ไม่ควรประมาณหรือกรอกผิด เพราะจะมีผลโดยตรงกับราคาเบี้ย ตัวอย่างเช่น:
- ยี่ห้อ / รุ่น / ปีจดทะเบียน
- เลขทะเบียนรถ (บางแพลตฟอร์มอาจต้องการ)
- ขนาดเครื่องยนต์ ซีซี
- ประเภทการใช้รถ (ใช้ส่วนบุคคล / ใช้รับจ้าง)
- จังหวัดที่ใช้รถ
รายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้อาจดูไม่สำคัญ แต่จริง ๆ แล้วส่งผลต่อระดับความเสี่ยงของผู้เอาประกัน และมีผลต่อเบี้ยโดยตรง
- อายุของรถและอายุผู้ขับหลัก
รถยนต์ที่อายุเกิน 10 ปีอาจไม่สามารถทำประกันชั้น 1 ได้กับบางบริษัท และรถที่อายุไม่มาก แต่คนขับหลักอายุต่ำกว่า 25 ปี เบี้ยประกันก็อาจสูงกว่าคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป เพราะมองว่ามีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุสูงกว่า
การระบุอายุผู้ขับหลักที่ชัดเจน จึงช่วยให้ได้เบี้ยที่แม่นยำ และบางกรณีอาจได้รับส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ขับที่มีประวัติดี
- ประวัติการเคลมมีผลต่อเบี้ย
แม้จะไม่ได้บอกตรง ๆ ว่าคุณเคยเคลมหรือไม่ แต่หลายบริษัทประกันจะมีการตรวจสอบย้อนหลังผ่านระบบกลาง หากในปีก่อนคุณมีประวัติการเคลมบ่อย หรือเคลมเสียหายรุนแรง อาจทำให้เบี้ยในปีถัดไปสูงขึ้น
หากคุณไม่มีประวัติเคลมเลย หรือเป็นผู้ขับที่ปลอดภัย บริษัทประกันบางแห่งอาจให้ “ส่วนลดไม่มีเคลม” สูงถึง 20-50%
- อย่าลืมเช็กเงื่อนไขพิเศษและความคุ้มครองเสริม
บางคนเลือกประกันจากราคาเพียงอย่างเดียว แต่ลืมดูรายละเอียดว่ารวมค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) หรือไม่, มีบริการรถยกฉุกเฉินหรือเปล่า, หรือรวมความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคลไหม สิ่งเหล่านี้อาจดูเล็กน้อย แต่เมื่อต้องใช้งานจริง กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่
เช่น บางกรมธรรม์ที่เบี้ยถูกมาก อาจมี Deductible 1,000 บาทต่อครั้ง หมายถึงคุณต้องจ่ายเองก่อนทุกครั้งที่เคลม
การเช็กเบี้ยประกันรถยนต์ไม่ใช่แค่การหาราคาถูกที่สุด แต่คือการมองหาความคุ้มค่าและความคุ้มครองที่ตรงกับพฤติกรรมการขับขี่และงบประมาณของคุณ การเตรียมข้อมูลทั้ง 5 ข้อนี้ให้พร้อมก่อนจะช่วยให้คุณเปรียบเทียบประกันได้แม่นยำ ตัดสินใจได้เร็ว และได้กรมธรรม์ที่ตรงใจที่สุด
