นอกจากจะมี iPhone 6 รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการใหม่อย่าง iOS 8.1 แล้ว บริษัท Apple ไม่ได้มีแค่ iPhone แต่ยังมี MacBook และ iMac ที่ใช้งานระบบปฏิบัติการ OSX Yosemite ด้วย ซึ่งในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ทาง OSX และ iOS นั้นจะมีความสามารถร่วมกันเยอะแยะมากมาย เพื่อให้การใช้งานทั้ง iPhone, iPad และ Mac มีความเกี่ยวเนื่องกันมากยิ่งขึ้น เรียกว่าถ้าใครมี iPhone แล้วไม่มี Mac อาจจะพลาดอะไรหลายๆ อย่างไปในชีวิตได้ ฉบับนี้เรามาลองเล่นของแพงกันดูว่า iPhone และ Mac กับความสามารถใหม่ๆ ที่มีอยู่ในตอนนี้ เราทำอะไรกับทั้งสองอุปกรณ์ที่อยู่ข้างหน้าเราได้บ้าง
รู้จักกับ iOS 8.1 กันก่อน
iOS เป็นระบบปฏิบัติการของ iPhone และ iPad ซึ่งในปัจจุบันมีการอัพเดทมาจนถึงเวอร์ชั่น 8.1.2 แล้ว สำหรับในเวอร์ชั่นใหม่นี้มีการอัพเดทจาก iOS 8 เล็กน้อย แต่ก็ช่วยทำให้เราใช้งานได้ดีมากยิ่งขึ้น หลายคนบ่นว่าอัพเกรดแล้วเครื่องดูจะทำงานช้าลงให้ลองอัพเกรดขึ้นไปเป็น 8.1.2 ก่อนจะช่วยให้เครื่องทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น สำหรับความสามารถใหม่ๆ ใน iOS 8.1 นั้นมีดังนี้
• Apple Pay ระบบจ่ายเงินผ่านทาง NFC ที่ยังไม่มีในประเทศไทย
• Photo ระบบการจัดการรูปภาพแบบใหม่ เมื่อลบรูปออกไปแล้วรูปจะถูกย้ายไปเก็บไว้ก่อน เมื่อครบ 30 วันถึงจะมีการลบจริงออกจากเครื่อง
• iCloud Drive ช่วยให้เราเก็บข้อมูลเอกสารต่างๆ ได้มากขึ้นผ่านการใช้งานบน iCloud โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นรูปภาพ และสำรองข้อมูลแอพฯ แบบเดิม
• การรองรับอุปกรณ์เสริมใหม่ๆ สำหรับอุปกรณ์เพื่อสุขภาพทั้งหมด และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเครื่องใช้ในบ้าน จะมีแอพฯ เพื่อรองรับการทำงานตรงนี้เพิ่มขึ้นมา
นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงระบบอีกเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงความเร็ว การใช้แบตเตอรี่ที่น้อยลง การเดาคำ การส่งต่อรูปภาพไปแก้ไขในแอพฯ อื่น การเพิ่มวิดเจ็ตในส่วนของการแจ้งเตือน ฯลฯ ซึ่งหลายท่านคงได้ลองใช้งานดูแล้วจากการอัพเดท
รู้จักกับ OSX Yosemite กันบ้าง
Yosemite เป็นระบบปฏิบัติการล่าสุดของ Mac ที่เปิดให้อัพเดทได้ฟรีสำหรับเครื่องที่ซื้อมาประมาณปี 2007 เป็นต้นมา การเปลี่ยนแปลงหลักๆ คือการใช้หน้าตาแบบเรียบง่าย (Flat UI) เหมือนกับ iOS 8 ที่ออกมา พร้อมกับลูกเล่นในการค้นหา การเชื่อมต่อ iPhone ได้ดียิ่งขึ้น เราสามารถรับการอัพเดทได้ฟรีที่ App Store ในเครื่อง Mac แต่สำหรับเครื่องที่อัพเดทได้นั้นมีดังนี้
• iMac (ตั้งแต่ Mid-2007 หรือใหม่กว่า)
• MacBook (13-inch Aluminum, Late 2008), (13-inch, Early 2009 หรือใหม่กว่า)
• MacBook Pro (13-inch, Mid-2009 หรือใหม่กว่า), (15-inch, Mid/Late 2007 หรือใหม่กว่า), (17-inch, Late 2007 หรือใหม่กว่า)
• MacBook Air (Late 2008 หรือใหม่กว่า)
• Mac Mini (Early 2009 หรือใหม่กว่า)
• Mac Pro (Early 2008 หรือใหม่กว่า)
• Xserve (Early 2009)
ถือว่า Apple นั้นใจดีมากที่เปิดอัพเดทสำหรับรุ่นเก่าๆ ให้ใช้งาน Yosemite ได้ ใครที่จะอัพเดทแนะนำว่าทำการสำรองข้อมูลผ่านทาง Time Machine ก่อนให้เรียบรอยแล้วจัดการอัพเดทอีกรอบ มิเช่นนั้นอาจจะงานเข้าได้
iPhone กับ Mac เขื่อมต่ออะไรได้บ้าง
ในการอัพเดทของทั้งฝั่งของ OSX และ iOS ครั้งใหม่พบว่าเราสามารถทำหลายๆ กิจกรรมจาก iPhone บนเครื่อง Mac ได้ด้วย ถึงแม้ว่าขั้นตอนการใช้งานนั้นจะค่อนข้างยาก ต้องตั้งค่า และต้องดูสเป็กของเครื่องด้วย ถ้าเก่ามาก (ตั้งแต่ปี 2012 ลงไป) ก็จะใช้งานได้ไม่เต็มที่เท่าไหร่ เรามาดูกันว่ามีความสามารถอะไรบ้างที่น่าสนใจ ช่วยให้การใช้งานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นครับ
รับสายโทรศัพท์บนเครื่อง Mac
ลูกเล่นนี้ถือว่าเป็นทีเด็ดของการอัพเดทครั้งนี้เลย การรับสายโทรศัพท์ผ่านทางเครื่อง Mac นั้นจะช่วยให้เราทำงานต่อเนื่องได้ทันทีโดยไม่ต้องไปหยิบโทรศัพท์ ซึ่งไม่ใช่แค่ความสะดวกเท่านั้น แต่บางทีถ้าเราลืมเอาโทรศัพท์มาจากบ้าน เก็บเอาไว้ในรถ เราก็ยังไม่พลาดสายที่โทรเข้ามาได้ วิธีการทำงานนั้นคือระบบจะส่งต่อสัญญาณเสียงที่โทรเข้ามาไปยังเครือข่ายของ Facetime เพื่อยิงเข้าไปยังเครื่อง Mac ของเราอีกครั้ง เมื่อมีสายเข้าทำให้เรารับสายที่เครื่องแม็คได้ทันที แถมยังกดไม่รับสายพร้อมตอบกับ SMS โดยการคลิ๊กแค่สองทีเท่านั้น มาดูกันว่าเราจะต้องตั้งค่าอย่างไรบ้าง
เครื่อง Mac เครื่องที่สามารถใช้งานในส่วนนี้ได้จะต้องเป็นเครื่องที่มีกล้องในตัว เช่น iMac และ MacBook เพราะฉะนั้น Mac Mini จะไม่สามารถใช้งานได้เพราะต้องทำงานผ่านทาง Facetime และถ้าเครื่องไม่สามารถเปิด Facetime มาทำงานได้ก็จะไม่สามารถใช้งานในส่วนนี้ได้ วิธีการก็คือเราเข้าที่ Applications แล้วหาแอพฯ ที่ชื่อว่า Facetime เปิดขึ้นมาแล้วจัดการเข้าระบบ iCloud เป็นบัญชีเดียวกับบน iPhone เท่านั้น จากนั้นเข้าไปเลือกตรงที่เมนู Preference แล้วกดเปิดที่เมนู iPhone Cellular Calls ให้เป็นเครื่องหมายถูก แค่นี้ Mac ของเราก็พร้อมรับสายแล้ว
หาแอพฯ ชื่อว่า Facetime ใน Application ของเครื่อง Mac
กดเปิดแอพฯ ขึ้นมาแล้วเข้าที่การตั้งค่า Preference
ในหน้าการตั้งค่าเลือกที่ iPhone Cellular Calls
เครื่อง iPhone เราจะต้องเข้าไปที่เมนูการตั้งค่า แล้วเลือก Facetime เพื่อเข้าบัญชี iCloud ให้เรียบร้อย จากนั้นก็เปิดเมนู iPhone Cellular Calls ด้วยเหมือนกัน เท่านี้เวลามีสายเข้าก็จะทำการส่งต่อไปยังเครื่อง Mac ได้
ใน iPhone เข้าไปที่การตั้งค่าแล้วหา Facetime
เปิดการใช้งาน Facetime แล้วกด ใช้ Apple ID
ใส่ Apple ID ให้เรียบร้อยแล้วกดลงชื่อเข้า
กลับไปที่แอพฯ Facetime ในหน้าจอหลักเพื่อเช็คอีกครั้ง
การใช้งานจริงเมื่อมีสายเข้าที่หน้าจอ iPhone รออีกประมาณ 5 วินาทีจะมีสายเข้าที่หน้าจอ Mac ตามมาด้วย การแจ้งเตือนจะอยู่ที่มุมบนขวาของจอพร้อมกับบอกรูป เบอร์ และชื่อของผู้ที่โทรเข้ามาด้วย (ซึ่งจะต้องบันทึกเอาไว้ใน iPhone) เราเลือกกดรับ (สีเขียว) หรือกดวางสาย (สีแดง) ได้ทันที แต่ถ้าอยากให้มี SMS แจ้งกลับไปว่ายังไม่ว่าง (ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ) ให้กดที่เครื่องหมายลูกศรเพื่อเลือกข้อความที่เราต้องการ แต่ถ้าต้องการโทรออกจากเครื่อง Mac โดยไม่ต้องหยิบ iPhone มาโทร ให้ลองหาแอพฯ ชื่อ “Continuity Keypad” มาติดตั้งบนเครื่อง Mac จะช่วยให้เรากดแป้นเพื่อโทรออกได้
เมื่อมีสายเข้า จะมีแถบแจ้งเตือนให้เราทราบทันทีว่ามีสายเข้า
ถ้าไม่ต้องการรับสายก็แค่กดที่ปุ่ม Decline แล้วเลือกเหตุผล
กดรับสายแล้วคุยผ่านสปีกเกอร์โฟน หรือผ่านทางหูฟังได้ทันที
AirDrop โยนไฟล์เข้าไปยัง iPhone ได้ง่ายๆ
เราสามารถส่งไฟล์ เอกสาร หรือรูปภาพจาก iPhone ไปยังเครื่อง Mac ได้ง่ายๆ โดยการใช้ลูกเล่นของ AirDrop ซึ่งจะต้องทำงานไร้สายผ่านทางบลูทูธ และ Wi-Fi เป็นหลักเพราะฉะนั้นเครื่อง Mac ของเราจะต้องเป็นเวอร์ชั่นที่ใหม่สักหน่อยถึงจะใช้งานได้ ระบบต้องการบลูทูธ 4.0 ทั้งสองฝั่ง แต่สำหรับ iPhone นั้นมีบลูทูธ 4.0 อยู่ในตัวอยู่แล้ว วิธีการใช้งานคือเราเปิด Finder ในเครื่อง Mac แล้วเลือกหาเมนู AirDrop หลังจากกดเข้าไปจะมีหน้าจอบอกว่ามีอุปกรณ์อะไรบ้าง จากนั้นเราก็กดลากไฟล์ส่งไปยังเครื่องนั้นได้เลยทันที ส่วน iPhone ถ้าต้องการส่งไปยัง Mac ก็แค่เลือกไฟล์แล้วหาปุ่มส่งต่อ (Share) ซึ่งมีในแอพฯ พื้นฐานอย่างเช่นอัลบั้มรูป เมื่อกดส่งต่อจะมีเมนู AirDrop ขึ้นมาให้เรากดเลือกว่าจะส่งไปยังเครื่อง Mac หรือไม่
Drop1 เข้า Finder เพื่อเปิดหน้าต่างขึ้นมาแล้วหา AirDrop
ในส่วนของ AirDrop จะแสดงรายชื่ออุปกรณ์ใกล้เคียง
หรือจะส่งผ่าน AirDrop จากบนมือถือก็ทำได้
อย่าลืมเปิดการใช้งาน AirDrop ด้วย
SMS Relays ส่งข้อความ SMS จากเครื่อง Mac ได้ง่ายกว่า
เป็นการรับส่งข้อความ SMS จากเครื่อง Mac ส่งต่อไปยัง iPhone อีกที โดยเราจะต้องไปตั้งค่าเพื่อเปิดการใช้งานในส่วนนี้ก่อน ข้อความที่ส่งจะได้ทั้ง SMS ทั่วไป และ iMessage ซึ่งสะดวกกว่าการใช้งานบน iPhone มาก มีวิธีตั้งค่าดังนี้
เครื่อง iPhone ให้เราเข้าไปที่ไอค่อนการตั้งค่าแล้วเลือก ข้อความ (Message) เพื่อเข้าสู่ระบบ iCloud ให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นจะมีเมนูให้เราเลือกว่า “การส่งต่อข้อความ” จากนั้นก็เลือกเครื่อง Mac ที่เราต้องการให้ข้อความนั้นส่งต่อไปหา เมื่อกดเปิดทางฝั่ง Mac จะมีหน้าต่างขึ้นมาบอกรหัสผ่าน 6 หลัก เราก็เอารหัสผ่านไปกรอกในบนหน้า iPhone เท่านี้เราก็เริ่มต้นใช้งานข้อความบนเครื่อง Mac ได้ทันที
เข้าไปที่การตั้งค่าแล้วหาส่วนของข้อความ
กดเข้าไปแล้วเปิดการใช้งาน iMessage
กดเลือกอุปกรณ์ที่เราจะให้ใช้งาน SMS Relays
จะมีหน้าต่างรหัสผ่าน 6 หลักขึ้นที่เครื่อง Mac ให้เราเอารหัสมากรอกหน้านี้
เสร็จขั้นตอนนี้เราก็ใช้งาน SMS ได้แล้ว
ทดลองส่ง SMS จากเครื่อง Mac กันดู
แชร์เน็ต 3G ไปยัง Mac ได้ดีกว่าเดิม
ปกติแล้วเราสามารถแชร์อินเตอร์เน็ต 3G ไปยังเครื่อง Mac ให้เล่นอินเตอร์เน็ตได้แม้ว่าจะไม่มี Wi-Fi ในบริเวณนั้น สามารถทำได้โดยการแชร์อินเตอร์เน็ตผ่าน iPhone ไปยังเครื่อง Mac ได้ ยิ่งถ้าเป็นการเชื่อมต่อแบบ 4G แล้วล่ะก็จะได้ความเร็วที่ดีกว่าอินเตอร์เน็ตในบ้านมาก วิธีการแชร์อินเตอร์เน็ตก็ทำได้ง่ายๆ ดังนี้
เข้าไปที่การตั้งค่าแล้วเลือกฮอตสปอตส่วนบุคคล จัดการแก้ไขรหัสผ่านเสียก่อน
เปิดการใช้งานแล้วเข้าไปเชื่อมต่อจากเครื่อง Mac ได้เลย
เราจะเจอชื่ออุปกรณ์ของเราในเครื่อง Mac
กดเชื่อมต่อแล้วปกติจะมีรายละเอียดของแบต สัญญาณ และปุ่มหยุดการเชื่อมต่อ (Disconnect)
เครื่อง iPhone เข้าเมนูการตั้งค่าแล้วมองหา “ฮอตสปอตส่วนบุคคล” จากนั้นเข้าไปแก้รหัสผ่านเสียก่อน เราสามารถตั้งรหัสผ่านอะไรก็ได้แต่จะต้องมีความยาวตั้งแต่ 8 ตัวอักษรขึ้นไปเพื่อป้องกันการขโมยข้อมูลจาก Wi-Fi ของเราไปใช้ได้ เสร็จแล้วก็เปิด ฮอตสปอตส่วนบุคคล ได้เลย แต่ถ้าเปิดไม่ติดให้ตรวจสอบด้วยว่าบลูทูธ และ Wi-Fi ของเราเปิดไว้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้เปิดก็ต้องจัดการเปิดให้ครบทั่งคู่นะครับ
เครื่อง Mac ให้เรากดดูบาร์ด้านบนว่าเจอชื่อเครื่อง iPhone ของเราแล้วหรือยัง ถ้าเจอก็ใส่รหัสผ่านแล้วเข้าใช้งานอินเตอร์เน็ตได้เลย สิ่งที่พิเศษกว่าการเชื่อมต่อปกติคือเราจะเห็นรายละเอียดของความแรงอินเตอร์เน็ต และระดับแบตเตอรี่ของ iPhone ด้วยว่ามีระดับเท่าไหร่แล้ว ทำให้เราไม่เผลอเล่นจนแบตฯ หมด แต่ถ้าเครื่อง Mac บางเครื่องไม่รองรับก็จะมีแค่แถบให้เลือกว่าต้องการปิดอินเตอร์เน็ตจาก iPhone ขึ้นมาให้เรากดเท่านั้นเอง
แฮนด์ออฟ เปิดเอกสารที่ไหน ทำต่อได้บน Mac และ iPhone
เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นที่ช่วยให้เราพิมพ์เอกสาร ตอบอีเมล์ และเปิดเว็บต่อได้บนเครื่อง Mac โดยไม่ต้องมานั่งจดว่าทำไปถึงไหนแล้ว ลูกเล่นนี้เรียกว่าแฮนด์ออฟ แต่จะมีข้อจำกัดในการใช้งานด้วยตรงที่ใช้งานได้กับเครื่อง Mac รุ่นใหม่ๆ ที่มีบลูทูธ 4.0 LE เท่านั้น ไม่สามารถใช้กับรุ่นเก่าๆ ได้เลย ดูแล้วน่าจะเป็นเครื่องที่ออกมาในปี 2014 เท่านั้นเอง วิธีการตั้งค่าแค่เข้าไปที่เครื่อง Mac เปิดบลูทูธทิ้งไว้แล้วเข้าไอค่อน Setting มองหา General ซึ่งอยู่อันแรกสุด เลื่อนไปด้านล่างจะมีให้เลือก “Allow Handoff between this Mac and your iCloud Devices” กดเลือกให้เป็นเครื่องหมายถูก ส่วน iPhone ก็เข้าไปที่การตั้งค่า ทั่วไป แล้วมองหา “Handoff & Suggested Apps” ไปเลือกเปิดการใช้งาน เพื่อเริ่มต้นการใช้งาน ทั้งนี้การใช้งานจะต้องเปิดบลูทูธทิ้งไว้ด้วยกันทั้งสองอุปกรณ์ และต้องต่อ Wi-Fi ในจุดเดียวกันด้วย ถึงจะโอนย้ายอีเมล์ เว็บ หรือเอกสารต่างๆ หากันได้
แชร์ไฟล์ร่วมกันทุกอุปกรณ์ผ่าน iCloudDrive
เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นใหม่ใน iOS 8 จากที่เราเคยใช้ iCloud แค่สำรองข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ วันนี้ iCloud เป็น iCloudDrive ที่สามารถเอาไฟล์ เอกสาร รูปภาพ วิดีโอ ต่างๆ เข้าไปเก็บเอาไว้ในพื้นที่ฟรี 5 GB ซึ่งถ้าเราอยากได้เนื้อที่เพิ่มก็แค่กดซื้อรายเดือนในราคาตามที่ Apple กำหมดเอาไว้ การใช้งาน iCloudDrive ผ่านทาง iPhone นั้นมีข้อจำกัดอยู่บ้างตรงที่ต้องเป็นแอพฯ ที่เปิดใช้งานในลูกเล่นใหม่นี้เท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วยังไม่มีแอพฯ ไหนที่สามารถเรียกดูไฟล์จาก iCloudDrive ได้เลย จะมีแค่เพียงแอพฯ สแกนรูปภาพ และเปิดอ่านเอกสารบางแอพฯ เท่านั้นที่เปิดดู iCloudDrive ได้
เลือกเมนู iCloudDrive ใน Finder ของ Mac
จัดการสร้างแฟ้มแล้วโยนไฟล์ไปใส่ได้เลย
ระบบจะจัดการอัพโหลดไปให้อัตโนมัติ
ทั้งหมดนี้เรียกว่าเป็นของเล่นใหม่ที่ทำให้เราใช้งานระหว่าง iPhone และ Mac ได้เต็มที่มากขึ้น แต่ถ้าถามว่าสะดวกหรือไม่ คงต้องบอกว่าการตั้งค่าต่างๆ การผูกกับ iCloud เข้าไป ทำให้มีข้อจำกัดในการใช้งานเยอะมาก จากเรื่องที่น่าใช้จะกลายเป็นความวุ่นวายไปได้ แต่อย่างน้อยถ้าใครมี iPhone ใหม่ และยังมี Mac รุ่นใหม่ๆ ตั้งแต่ปี 2013 ขึ้นไป แนะนำว่าลองเปิดความสามารถพวกนี้ใช้ดู อาจจะช่วยให้เราสนุกกับการใช้งานอุปกรณ์ของ Apple ได้อย่างเต็มที่มากขึ้นด้วยครับ