เปิดตัวไปครบทุกรุ่นแล้วสำหรับ Redmi Note 11 Series ทั้ง 4 รุ่น ไม่ว่าจะเป็น Note 11 Pro 5G, Note 11 Pro, Note 11S และ Note 11 โดยรุ่นกลางอย่าง Redmi Note 11S ที่เราได้มาทดสอบคราวนี้ถือเป็นรุ่นประหยัด คุ้มค่า และมาพร้อมสเป็คที่จัดเต็มเกือบจะเทียบเท่ารุ่นใหญ่เลยก็ว่าได้ มาดูกันว่าน้องเล็กรุ่นนี้จะคุ้มค่าเพียงใด
แกะกล่องลองเล่น Redmi Note 11S
สำหรับอุปกรณ์ในกล่องของ Note 11S รุ่นนี้ก็มีมาให้ค่อนข้างครบครัน จะขาดก็เพียงหูฟังเท่านั้น แต่ก็สามารถหาซื้อได้ในราคาที่ไม่แพง ทั้งหูฟังไร้สาย Bluetooth หรือหูฟังขนาดมาตาฐาน 3.5 มม. มาแกะกล่องดูกันเลยว่ามีอะไรมาให้บ้าง
- Redmi Note 11S สี Graphite Gray
- อแดปเตอร์ Mi Turbo Charge 33 วัตต์
- สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-C
- เคสซิลิโคนแบบใส
- ฟิล์มกันรอยแบบติดมาจากโรงงาน
- คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
Redmi Note 11S ดีไซน์เรียบหรู กับขนาดที่พอดีมือ
เครื่องที่เราได้มาทดสอบเป็นสี Graphite Gray ตัวเครื่องโดยรวมแล้วเป็นสีเทาเข้ม ดีไซน์ด้านหลังเป็นพื้นผิวแบบด้าน ทำให้ไม่ติดรอยนิ้วมือหรือคราบมันได้ง่ายๆ ไม่ต้องเช็ดทำความสะอาดบ่อยๆ และยังมีสี Twilight Blue และ Pearl White ให้เลือกอีกด้วยตัวเครื่องขนาดกะทัดรัด ไม่ใหญ่จนเกินไป สามารถพกพาได้สะดวก ด้านข้างขอบโค้งรับกับอุ้งมือ แถมยังมีความบางเพียง 8.09 มม. เท่านั้น
จอแสดงผลด้านหน้าแบบ AMOLED DotDisplay ขนาดใหญ่ 6.43 นิ้ว เป็นจอแสดงผลแบบ AMOLED ที่ให้สีสันสวยงาม พร้อมอัตรารีเฟรชเรท 90 Hz และอัตราการตอบสนองการสัมผัสที่ 180 Hz ให้ค่าความสว่างสูงสุดถึง 1000 nit ความละเอียด FHD+ 1080 x 2400 พิกเซล เหนือจอแสดงผลนอกจากจะกล้องหน้าแบบเจาะรูแล้ว ยังมีลำโพงสนทนา เซ็นเซอร์ต่างที่ซ่อนไว้อยู่บริเวณนี้โดยที่ไม่เกะกะสายตา สำหรับกระจกหน้าจอใช้วัสดุ Corning Gorilla Glass 3 ช่วยป้องกันรอยขีดข่วนได้ดี นอกจากนี้หน้าจอยังรองรับการแสดงผลแบบ Always on Display ด้วย
ที่ด้านหลังถูกออกแบบมาในแนวนอน พร้อมโลโก้ Redmi ที่มุมด้านซ้าย ส่วนมุมด้านขวาเป็นเลนส์กล้องที่ดีไซน์เป็นสเต็ป 2 ชั้น เลนส์รับภาพกล้องทั้ง 3 เลนส์อยู่ในชั้นแรก และเลนส์กล้องหลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซลขนาดใหญ่อยู่ชั้นบนสุดดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ส่วนอีกชั้นเป็นไฟแฟลชแบบ LED พร้อมสัญลักษณ์ 108MP AI Camera ส่วนกล้องนี้จะนูนขึ้นมาจากด้านหลังเล็กน้อย แต่หากใส่เคสที่มีมาให้ในกล่องก็ช่วยป้องกันรอยขีดข่วนได้จากการวางบนพื้นโต๊ะ
ที่ด้านข้างซ้ายมีช่องใส่ถาดซิมการ์ดแบบ 3 ช่อง สามารถใส่ SIM1, SIM2 และการ์ดหน่วยความจำาภายนอกแบบ microSD ได้พร้อมๆ กัน ส่วนที่ด้านข้างขวามีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดปิดเครื่องที่ทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือในตัว
ที่ด้านบนส่วนนี้ก็มีอุปกรณ์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นช่องไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวน พอร์ตอินฟราเรดสำหรับสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ร่วมกับแอพฯ Mi Remote ในเครื่อง ถัดมาเป็นลำโพงแบบสเตอริโอที่ให้เสียงแยกซ้ายขวาเมื่อทำงานร่วมกับลำโพงที่ด้านล่างของตัวเครื่อง และยังมีช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม. มาให้ใช้งานด้วย
สุดท้ายที่ด้านล่างของตัวเครื่องมีช่องไมโครโฟนรับเสียงสนทนา ช่องเสียบสายแบบ USB-C และช่องลำโพงสปีกเกอร์ เมื่อวางเครื่องในแนวนอนลำโพงจากด้านบน และด้านล่างจะทำหน้าที่เป็นลำโพงสเตอริโอ ทำให้เสียงแยกซ้ายขวาอย่างชัดเจน
กล้องหลัง AI 4 เลนส์ คมชัดสุดๆ ด้วยความละเอียด 108 ล้านพิกเซล
จุดเด่นของการถ่ายภาพของรุ่นนี้คือมีกล้องหลังมาให้ถึง 4 เลนส์ ซึ่งแต่ละเลนส์ก็มีระยะถ่ายภาพที่แตกต่างกันออกไป โดยกล้องหลักจะมีความละเอียดสูงสุดที่ 108 ล้านพิกเซล พร้อมระบบ AI Camera ที่จะเข้ามาช่วยปรับสีสันของภาพให้สวยงามให้เหมาะกับวัตถุที่จะถ่าย แต่หากถ่ายภาพในโหมดปกติจะถูกลดลงเหลือ 12 ล้านพิกเซล แต่ยังคงใช้เซ็นเซอร์รับภาพขนาดใหญ่อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยการใช้ 9 พิกเซลเพื่อรวมให้เหลือ 1 พิกเซล ซึ่งจะช่วยให้รับแสงได้มากขึ้นเพื่อให้ได้ภาพที่สว่างมากยิ่งขึ้น ทำให้ภาพดูสว่าง และสีสันสวยงามสมจริง แต่หากต้องการถ่ายภาพที่ความละเอียด 108 ล้านพิกเซลก็สามารถเลือกปรับได้ในเมนูการตั้งค่า สำหรับสเป็คกล้องทั้งด้านหน้า และด้านหลังของรุ่นนี้มีเลนส์อะไรให้เราได้ใช้บ้าง มาดูกันเลย
กล้องหลัง
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.9 เซ็นเซอร์ Samsung HM2 ขนาดใหญ่ 1/1.52 นิ้ว
- กล้องเลนส์ Ultra wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 มุมกว้าง 118 องศา
- กล้องเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้องเลนส์ Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
กล้องหน้า
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
ในการถ่ายภาพของรุ่นนี้ก็มีโหมดการถ่ายภาพให้เลือกใช้งานค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพบุคคล สามารถปรับค่ารูรับแสง หรือความเบลอของฉากหลังได้ตั้งแต่ f/1.0 (เบลอมากสุด) ไปจนถึง f/16 (เบลอน้อยสุด), โหมด Beautify เลือกปรับความเนียนของใบหน้าได้ถึง 100 ระดับ มี Filters ให้เลือกถึง 15 แบบ น่าจะถูกใจสาวๆ อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีโหมดการถ่ายภาพอื่นๆ มาให้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นโหมด Time-Lapse, Panorama, Night, Document, Slow motion และโหมด Pro ที่สามารถปรับแต่งการถ่ายภาพได้ ทั้งค่าสปีดชัตเตอร์, ค่ารูรับแสง, ISO, White balance เป็นต้น และสำหรับการถ่ายก็สามารถปรับความละเอียดได้สูงสุด FullHD 1080p 30 เฟรมต่อวินาที
ตัวอย่างภาพจากกล้อง
แรงด้วยหน่วยประมวลผล Helio G96 ระบายความร้อนด้วย LiquidCool technology
Redmi Note 11S มาพร้อมชิพประมวลผล MediaTek Helio G96 Octa-core ความเร็ว 2.05 GHz และหน่วยประมวลผลภาพ 3D Mali G57 MC2 แต่ชิพเซ็ตของรุ่นนี้ยังคงรองรับเพียงแค่เครือข่าย 4G สำหรับหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4X ขนาด 8 GB สามารถเพิ่มอีก 3 GB จาก ROM เป็น 11 GB ได้โดยอัตโนมัติเมื่อ RAM ใกล้จะเต็ม และสำหรับพื้นที่หน่วยความจำ ROM ก็มีมาให้ถึง 128 GB รองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ได้อีกสูงสุดถึง 1 TB
ระบบปฏิบัติการของรุ่นนี้ยังเป็น Android เวอร์ชั่น 11 พร้อม MIUI เวอร์ชั่น 13 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด รองรับแอพพลิเคชั่น และบริการต่างๆ จาก Google ได้ 100% อีกทั้งยังรองรับการอัพเดทต่างๆ ในอนาคต
ในการเล่นเกมเราได้ทดสอบเล่นเกม 3D หนักๆ ที่เราใช้ทดสอบเป็นประจำอย่าง PUBG Mobile สามารถปรับความละเอียดได้สูงสุดที่ระดับ HD และที่เฟรมเรทระดับ High และยังมีโหมด Game Turbo ที่จะช่วยจัดการทรัพยากรในเครื่องให้เล่นเกมได้อย่างลื่นไหล อีกทั้งยังช่วยปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ที่จะเข้ามารบกวนการเล่น และยังสามารถบันทึกภาพนิ่ง หรือคลิปวิดีโอขณะเล่นได้ ปิดหน้าจอแสดงผลขณะปล่อยบอทในเกมเพื่อประหยัดพลังงานได้ หรือสามารถเปลี่ยนเสียงพูดขณะเล่นเกมได้อีกด้วย
ผลการทดสอบด้วยแอพฯ Antutu 3D Benchmark เวอร์ชั่น 9.2.9 สามารถทำคะแนนได้สูงถึง 320872
ส่วนการทดสอบด้วยแอพฯ Geekbench 5 ก็สามารถทำคะแนน Single core ได้ 527 และ Multi-core ทำได้ 1813
แบตเตอรี่ความจุสูงถึง 5000 mAh ชาร์จเร็วด้วย Mi Turbo Charge 33 วัตต์
หากดูจากความบางของเครื่อง เทียบกับความจุของแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ถึง 5000 mAh ถือว่าบางมากๆ เมื่อเทียบกับรุ่นอื่น หากใช้งานปกติสามารถใช้งานได้ 2 วันเต็มๆ หรืออาจจะได้ถึง 3 วัน ภายในกล่องยังมีอแดปเตอร์ Mi Turbo Charge 33 วัตต์มาให้ด้วย โดยการทดสอบชาร์จจากแบตเตอรี่เต็ม 100% จะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้น ซึ่งหากชาร์จในสถานะแบตเตอรี่ต่ำๆ จะชาร์จได้ค่อนข้างเร็ว แต่ถ้าในช่วงที่แบตเตอรี่ใกล้เต็มจะเริ่มชาร์จช้าลงด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่จะจำกัดกระแสให้ลดลง และเพื่อไม่ให้แบตเตอรี่ร้อนจนเกินไป ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่แบตอึด และชาร์จไวอีกรุ่นหนึ่งของ Xiaomi
บทสรุป Redmi Note 11S ในความเห็นของ What Phone
จากการทดสอบใช้งานมาสักระยะถือว่า Redmi Note 11S ยังคงความคุ้มค่ากับราคา 8,299 บาท แต่ในการใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้งการโทรศัพท์ ถ่ายภาพได้ทุกระยะ หรือจะดูหนัง เล่นเกมก็ทำได้อย่างไม่มีสะดุด หน้าจอแสดงสีสันได้สวยงาม ลื่นไหลด้วยการแสดงผล 90 Hz พร้อมระบบเสียงแบบสเตอริโอ แยกซ้ายขวาชัดเจน ถือเป็นความบันเทิงที่สามารถติดตัวไปได้ทุกที่ทุกเวลา พร้อมแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้แบบเต็มๆ 2 วัน ไม่ต้องชาร์จบ่อย และถ้าวันไหนลืมชาร์จก็สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็วทันใจ ทั้งหมดนี้เปิดตัวในราคาไม่ถึงหมื่นบาท ถือว่าคุ้มค่ามากๆ สำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัด
สรุปสเป็ค Redmi Note 11S
- ขนาด 159.87 x 73.87 x 8.09 มม. นัำหนัก 179 กรัม
- รองรับเครือข่าย 4G LTE พร้อมช่องใส่ซิมการ์ด 2 ใบ
- หน้าจอ AMOLED FHD+ ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2400 พิกเซล
- Refresh rate 90 Hz, Touch Sampling rate 180 Hz
- หน่วยประมวลผล MediaTek G96 Octa-core ความเร็ว 2.05 GHz
- หน่วยประมวลผลภาพ 3D Mali G57 MC2
- ระบบปฏิบัติการ Android 11, MIUI 13
- หน่วยความจำ RAM 8+3 GB LPDDR4X, ROM 128 GB UFS2.2
- ระบบปลดล็อคด้วยสแกนลายนิ้วมือด้านข้าง และปลดล็อคด้วยใบหน้า
- กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล f/2.4
- กล้องหลัง 4 เลนส์
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.9 เซ็นเซอร์ Samsung HM2 ขนาดใหญ่ 1/1.52 นิ้ว
- กล้องเลนส์ Ultra wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 มุมกว้าง 118 องศา
- กล้องเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้องเลนส์ Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- แบตเตอรี่ 5000 mAh ชาร์จเร็วด้วยอแดปเตอร์ Mi Turbo Charge 33 วัตต์
- การเชื่อมต่อ WiFi, Bluetooth 5.0
- มีให้เลือก 3 สี Graphite Gray, Twilight Blue และ Pearl White
- ราคาเปิดตัว 8,299 บาท
ตัวอย่างภาพจากกล้อง
