จาก iPhone 13 ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปี 2021 แล้ว และในปี 2022 นี้ Apple ก็เปิดตัวสีใหม่เพิ่มเข้ามาให้กับ iPhone 13 คือสีเขียว และ iPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์ เอาใจผู้ใช้ที่ชอบสีเขียวโดยเฉพาะ และทีมงาน What Phone ก็ได้ iPhone 13 สีเขียวทั้ง 2 สีมาทดสอบ และไม่รอช้า เรามาแกะกล่องดูกันเลยครับ
แกะกล่อง iPhone 13 Green
กล่องของ iPhone 13 ยังคงมาในแบบของความบางด้วยการตัดอแดปเตอร์ และหูฟังออก เหลือเพียงตัวเครื่อง และสายชาร์จมาให้เท่านั้น และเมื่อแกะกล่องออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ดังนี้
- iPhone 13 สีเขียว (Green)
- สาย Lightning to USB-C
- เอกสาร คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
- สติ๊กเกอร์ 1 แผ่น
จากเดิม iPhone 13 มีสีให้เลือกถึง 5 สี ไม่ว่าจะเป็นสีชมพู, น้ำเงิน, มิดไนท์, สตาร์ไลท์ และ Product RED และคราวนี้ก็มีสีเขียวเพิ่มเข้ามา รวมแล้วมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี สำหรับสีเขียวใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน iPhone 13 และ iPhone 13 mini นั้น เป็นสีเขียวที่ค่อนมาทางเขียวเข้ม โดยที่ด้านหลังเป็นกระจกแบบเงา ดูหรูหราสวยงาม แต่ก็ติดรอยนิ้วมือได้ง่ายเช่นกัน
ด้านหน้าเป็นจอแสดงผลขนาด 6.1 นิ้ว เป็นจอภาพแบบ OLED ที่ให้สีสันสวยงามสมจริง เหนือจอแสดงผลมีรอยบากที่เล็กลงกว่า iPhone 12 พอสมควร บริเวณนี้มีกล้องหน้า, ลำโพงสนทนา, เซ็นเซอร์ FaceID และเซ็นเซอร์ต่างๆ กระจกด้านหน้าใช้วัสดุเป็น Ceramic Shield ป้องกันรอยขีดข่วนได้ดีที่สุดของ iPhone ในเวลานี้
ด้านหลังสีเขียวเป็นกระจกแบบเงา ซึ่งหากอยู่ในที่ร่มก็จะเห็นเป็นสีเขียวเข้ม แต่หากอยู่ในที่สว่าง หรือกลางแจ้งสีเขียวก็จะสว่างขึ้นมาอีกเล็กน้อย ส่วนกล้องนั้นดีไซน์ใหม่ จากเดิมที่วางเรียงกันตรงๆ มาถึงรุ่นนี้วางเรียงแบบเฉียง ทำให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่
ที่ขอบด้านข้างก็เป็นสีเขียว แต่ใช้วัสดุแบบด้านต่างจาก iPhone 13 Pro ที่เป็นวัสดุแบบเงา ขอบด้านข้างซ้ายมีสวิตซ์เปิดปิดระบบสั่น ถัดลงมาเป็นปุ่มปรับระดับเสียง และสุดท้ายเป็นถาดซิมการ์ดแบบ Nano SIM ส่วนที่ด้านข้างขวามีปุ่มเปิดปิดเครื่อง พร้อมทั้งใช้เป็นปุ่มใช้งาน Siri ไปด้วยในตัวเมื่อกดค้างเอาไว้
ด้านบนดีไซน์แบบโล่งๆ จะเห็นเพียงขีดสีดำซึ่งทำหน้าที่เป็นเสาอากาศรับสัญญาณ ส่วนที่ด้านล่างมีช่องไมโครโฟน ถัดมาเป็นช่องเสียบสายแบบ Lighning และสุดท้ายเป็นช่องลำโพงสปีกเกอร์
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมอย่าง Silicone case สีเขียวมาให้เลือก ซึ่งเป็นสีเขียวยูคาลิปตัสเข้ากับสีของตัวเครื่อง ภายในเคสยังบุกำมะหยี่ที่จะช่วยถนอมของตัวเครื่องได้เป็นอย่างดี เมื่อใส่เคสเข้ากับตัวเครื่องจะตรวจจับได้ทันทีว่ามีเคสสีอะไรเพิ่มเข้ามา นอกจากนี้ยังมี MagSafe เป็นแม่เหล็กสำหรับชาร์แบตเตอรี่แบบไร้สาย หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่ Apple มีวางจำหน่าย ใครที่ชอบสีเขียวต้องไม่พลาด
สเป็ค iPhone 13
- ขนาด 71.5 x 146.7 x 7.65 มม. น้ำหนัก 173 กรัม
- รองรับเครือข่าย 4G LTE และ 5G
- หน้าจอ OLED Super Retina XDR display ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1170 x 2532 พิกเซล
- แสดงผล Refresh Rate 60 Hz
- กล้องหน้า 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2
- กล้องหลัง 2 เลนส์
- กล้องเลนส์ Wide 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.6
- กล้องเลนส์ Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4, 2X Optical Zoom
- ถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K 60 เฟรมต่อวินาที
- หน่วยประมวลผล Apple A15 Bionic
- หน่วยความจำมีให้เลือก 128, 256, 512 GB
- แบตเตอรี่ขนาด 3240 mAh ชาร์จเร็ว 23 วัตต์
- รองรับระบบชาร์จแบบไร้สาย MagSafe 15 วัตต์
- ระบบปฏิบัติการ iOS 15.4
- มีให้เลือก 6 สี Green (สีเขียว), Product RED, Starlight (สีขาว), Midnight (สีน้ำเงินเข้ม), Blue (น้ำเงิน) และ Pink (ชมพู)
- ราคา
- รุ่น 128 GB ราคา 29,900 บาท
- รุ่น 256 GB ราคา 33,900 บาท
- รุ่น 512 GB ราคา 41,900 บาท
แกะกล่อง iPhone 13 Pro Alpine Green
กล่องของ iPhone 13Pro จะมาในสีดำแบบพรีเมี่ยม ตัวกล่องมีความบางเช่นเดียวกันกับ iPhone 13 โดยตัดอแดปเตอร์ชาร์จไฟ และหูฟังออกเช่นกัน และเมื่อแกะกล่องออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ดังนี้
- iPhone 13Pro สีเขียวอัลไพน์ (Alpine Green)
- สาย Lightning to USB-C
- เอกสาร คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
- สติ๊กเกอร์ 1 แผ่น
iPhone 13Pro สีเขียวอัลไพน์ หรือ Alpine Green เป็นโทนสีเขียวที่อ่อนกว่า iPhone 13 เล็กน้อย ที่ด้านหลังเป็นกระจกแบบด้านจึงไม่ติดรอยนิ้วมือได้ง่ายๆ แต่ที่ด้านข้างเป็นพื้นผิวโลหะแบบเงา จะติดรอยนิ้วมือได้ง่ายกว่า ส่วนสีที่ขอบด้านข้างจะสังเกตเห็นสีเขียวยากนิดนึง ต้องส่องกับแสงจึงจะเห็นโทนสีเขียวสะท้อนออกมา
หน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ของ 6.1 นิ้วของ iPhone 13 Pro ยังคงใช้วัสดุเป็นกระจก Ceramic Shield จอแสดงผลเป็นแบบ Super Retina XDR ความละเอียดถึง 1170 x 2532 พิกเซล และยังปรับ Refresh rate จากเดิม 60 Hz มาเป็น 120 Hz มาพร้อมรอยบากที่เล็กลง ทำให้แสดงผลได้เต็มตามากยิ่งขึ้น โดยรอยบากนี้ยังคงเป็นที่อยู่ของกล้องหน้า และเซ็นเซอร์ต่างๆ มากมาย รวมไปถึงเซ็นเซอร์ FaceID ที่ใช้ปลดล็อคการใช้งานเช่นเคย
ด้านหลังมีเลนส์รับภาพกล้องดิจิตอลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจากเดิมเล็กน้อย มีไฟแฟลชแบบ LED และ LiDAR Scanner ที่จะเข้ามาช่วยในการวัดระยะ ทำให้การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอทำได้สมจริงมากยิ่งขึ้น และยังใช้วัดระยะได้อย่างแม่นยำอีกด้วย สำหรับวัสดุด้านหลังนี้ยังคงใช้กระจกแบบด้าน ช่วยลดรอยนิ้วมือจากการสัมผัสได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ด้านหลังยังมี MagSafe ที่รองรับอุปกรณ์ต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นที่ชาร์จแบบไร้สาย เคส หรือกระเป๋าสตางค์ที่รองรับ MagSafe
ด้านข้างซ้ายมีสวิตซ์ปรับเปิดปิดระบบสั่น ถัดลงมาเป็นปุ่มปรับระดับเสียงสนทนา และช่องใส่ถาดซิมการ์ด ส่วนด้านข้างขวามีเพียงปุ่มเปิดเครื่อง ซึ่งหากต้องการปิดเครื่องต้องกดปุ่มนี้ พร้อมกับปุ่มปรับเสียงขึ้นพร้อมกันจึงจะปิดเครื่องได้
สำหรับด้านบนไม่มีปุ่มกดใดๆ ส่วนด้านล่างมีช่องไมโครโฟนรับเสียงสนทนา พอร์ต Lightning และลำโพงของตัวเครื่อง
และสำหรับอุปกรณ์เสริมของรุ่นนี้ ทาง Apple ก็มีคอลเล็คชั่นใหม่ต้อนรับ Summer ด้วยเคสแบบซิลิโคนที่มีสีสันสดใส โดยเคสที่เราได้มาทดสอบเป็นสีเหลืองผิวเลม่อน ซึ่งเป็นสีเหลืองที่มีสีสันสดใส เหมาะกับฤดูร้อนที่มาถึงนี้ วัสดุของเคสรุ่นนี้ภายนอกเป็นซิลิโคนที่มีพื้นผิวเหมือนยาง ผิวสัมผัสมีความนุ่มและมีความหนืดในตัว จับถือแล้วไม่ลื่นหลุดมือได้ง่ายๆ ส่วนภายในเป็นกำมะหยี่ ช่วยถนอมผิวภายนอกของ iPhone ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เมื่อใส่กับ iPhone แล้วยังสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ MagSafe อื่นๆ ได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นแท่นชาร์จไร้สาย หรือกระเป๋าสตางค์ วางจำหน่ายในราคา 1,790 บาท
เปรียบเทียบขนาด และสีของ iPhone 13 ทั้ง 4 รุ่น
สเป็ค iPhone 13 Pro
- ขนาด 71.5 x 146.7 x 7.65 มม. น้ำหนัก 203 กรัม
- รองรับเครือข่าย 4G LTE และ 5G
- หน้าจอ OLED Super Retina XDR display ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1170 x 2532 พิกเซล
- แสดงผล Refresh Rate 120 Hz
- กล้องหน้า 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2
- กล้องหลัง 2 เลนส์
- กล้องเลนส์ Wide 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.5
- กล้องเลนส์ Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.8 มุมกว้าง 120 องศา
- กล้องเลนส์ Telephoto 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.8, 3x Optical Zoom
- ถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K 60 เฟรมต่อวินาที
- หน่วยประมวลผล Apple A15 Bionic
- หน่วยความจำมีให้เลือก 128, 256, 512 GB
- แบตเตอรี่ขนาด 3240 mAh ชาร์จเร็ว 23 วัตต์
- รองรับระบบชาร์จแบบไร้สาย MagSafe 15 วัตต์
- ระบบปฏิบัติการ iOS 15.4
- มีให้เลือก 5 สี Alpine Green (สีเขียวอัลไพน์), Product RED, Silver (สีเงิน), Graphite (สีกราไฟต์), Gold (สีทอง) และ Sierra Blue (เซียร์ร่าบลู)
- ราคา
- รุ่น 128 GB ราคา 38,900 บาท
- รุ่น 256 GB ราคา 42,900 บาท
- รุ่น 512 GB ราคา 50,900 บาท
- รุ่น 1 TB ราคา 58,900 บาท