สัดส่วนภายนอก Apple iPhone 6 Plus
เป็นที่รู้กันว่าปัญหาของ iPhone นั้นนอกจากจะมีจอแสดงผลเล็กเกินไปแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ที่หมดเร็ว เพราะตัวเครื่องเล็ก แบตเตอรี่ก็เลยเล็กตามไปด้วย แน่นอนว่าการมาของ iPhone 6 นั้นพัฒนาด้านจอแสดงผลให้มีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ iPhone 6 Plus ที่เรานำมารีวิวในฉบับนี
ด้านหน้า : สิ่งหนึ่งที่เราเห็นความแตกต่างจากรุ่นก่อนอย่างชัดเจนคือหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ 5.5 นิ้ว ใช้กระจกที่มีขอบโค้งมนรับกับขอบด้านข้างของตัวเครื่อง ทำให้ติดฟิล์มกันรอยได้ไม่เต็มหน้าจอ เหนือจอแสดงผลมีกล้องสำหรับเฟสไทม์ เซ็นเซอร์ต่างๆ และช่องลำโพงหูฟัง ส่วนใต้จอก็มีปุ่มโฮมเพียงปุ่มเดียว และทำหน้าที่สแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อค หรือซื้อแอพฯ ได้อีกด้วย
ด้านซ้าย: ไล่จากด้านบนลงมาเป็นสวิตซ์สำหรับเปิดระบบสั่น หากเปิดเอาไว้ก็จะเห็นแถบสีส้มชัดเจนบ่งบอกอยู่ ถัดลงมาเป็นปุ่มปรับระดับเสียงเหมือนรุ่นก่อนๆ
ด้านขวา: ปุ่มเปิด/ปิดเครื่องย้ายมาอยู่ด้านนี้เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น
ด้านบน: จากเดิมที่มีปุ่มเปิด/ปิดเครื่องอยู่ที่ด้านบน มาถึงรุ่นนี้ถูกปล่อยโล่ง
ด้านล่าง: เหมือนกับ iPhone 5s คือมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. รูเล็กๆ ติดกันเป็นไมโครโฟน ตรงกลางเป็นช่องเสียบสายไลท์นิ่งสำหรับชาร์จแบตเตอรี่ หรือเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ถัดไปเป็นลำโพงที่ให้เสียงทุ้มกว่ารุ่นก่อนๆ
ด้านหลัง: ที่ด้านหลังเราจะเห็นเส้นสายแบ่งส่วนบนเป็นของกล้องดิจิตอล พร้อมไฟแฟลชแบบทูโทน รูตรงกลางเล็กๆ นั่นเป็นไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวนขณะสนทนา และยังทำหน้าที่บันทึกเสียงขณะถ่ายวิดีโอทำงานร่วมกับไมโครโฟนด้านล่าง ทำให้ได้เสียงแบบสเตอริโอแยกซ้ายขวา และที่ขาดไม่ได้คือโลโก้แอปเปิ้ลที่ดูโดดเด่นเหมือนรุ่นก่อนๆ
ภาพรวม : ยังคงความเรียบหรูตามสไตล์ของ iPhone อย่างไม่เสื่อมคลาย ทั้งการออกแบบ วัสดุที่ใช้ งานประกอบเครื่องที่เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดท้าย ยิ่งถ้าต้องการความหรูหราเพิ่มก็ต้องเป็นสีทองเท่านั้น ถ้าอยากได้ภาพที่ดูดุดันคงต้องเป็นสีสเปซเกรย์ หรือถ้าชอบแบบกลางๆ ก็ต้องเป็นสีซิลเวอร์ หรือสีเงิน ส่วนเรื่องขนาดถือว่าใหญ่เกินไปสำหรับผู้หญิง ถ้าเป็นมือผู้ชายก็ยังจะพอได้ถนัด
ชำแหละเครื่องใน
ถ้าว่ากันด้วยสเป็คการเครื่อง ทั้งหน่วยประมวลผล หน่วยความจำแบบแรมเทียบกับฝั่งแอนดรอยด์แล้วถือว่า iPhone 6 Plus นี่เด็กๆ ไปเลยโดยเฉพาะซีพียู A8 ที่ยังเป็นแค่ดูอัล-คอร์ ความเร็วเพียง 1.4 กิกะเฮิร์ตซ์เท่านั้น แถมยังมีแรมเพียง 1 กิกะไบต์ แต่ยังดีที่เป็นซีพียูแบบ 64 บิท ทำให้ใช้งานได้เร็วขึ้น และยังมีซีพียู M8 สำหรับช่วยประมวลผลข้อมูลด้านการเคลื่อนไหว แต่ถ้าเล่นเกมก็ไม่ต้องห่วง เพราะมีจีพียูแบบควอด-คอร์มาให้เลย รองรับภาพเกมแบบสามมิติได้สบายๆ ระบบปฏิบัติการ iOS ที่มีความเสถียรมาก มีระบบจัดการหน่วยความจำที่ดี การใช้งานจึงยังลื่นไหลตั้งแต่รุ่นก่อนๆ แล้ว ส่วนหน่วยความจำภายในก็มีให้เลือก 16, 64, 128 กิกะไบต์ แต่เราแนะนำให้ใช้ 64 กิกะไบต์ เพราะหากใช้งานไม่พอแล้วเพิ่มหน่วยความจำภายหลังไม่ได้นะ
สำหรับเครื่องทดสอบที่เราได้มานั้นเป็นเวอร์ชั่น 8.0.2 และอัพเดทเป็นเวอร์ชั่นใหม่ 8.1 เรียบร้อย โดยแก้ไขบั๊คบางอย่างในรุ่นก่อน ดีไซน์เมนูยังคงเป็นแบบเรียบๆ จากปีที่แล้ว หน้าจอความละเอียดฟูลเอชดี 1920 x 1080 พิกเซล ขนาด 5.5 นิ้วที่ค่อนข้างใหญ่สำหรับบางคน โดยเฉพาะผู้ใช้ที่มาจาก iPhone รุ่นก่อนๆ แต่หากเปลี่ยนจากแอนดรอยด์จอใหญ่มาใช้ก็จะไม่รู้สึกแตกต่างกันมากนัก การใช้งานด้วยมือเดียวอาจจะสร้างความลำบากให้พอสมควร แต่ก็ตัดปัญหาไปได้เพียงแค่แตะปุ่มโฮม 2 ครั้งเบาๆ หน้าจอส่วนบนจะย่อลงมาครึ่งหนึ่งให้แตะสั่งงานได้สะดวกขึ้น แต่เชื่อเถอะว่าใช้ไปสักพักจะชินไปเอง
ปุ่มโฮมที่มีระบบสแกนลายนิ้วมือยังใช้งานได้น่าประทับใจ แค่บันทึกลายนิ้วมือในเมนูตั้งค่า และเมื่อต้องการปลดล็อคก็กดปุ่มใดๆ ให้หน้าจอติดขึ้นมาแล้ววางนิ้วมือลงบนปุ่มโฮม เพียงเสี้ยววินาทีก็สามารถปลดล็อคได้ สะดวกมากๆ และยังใช้ลายนิ้วมือซื้อแอพพลิเคชั่นได้เหมือนเดิมด้วย รวมไปถึงการซื้อของโดยผ่านแอปเปิ้ลเพย์ (Apple Pay) ที่ทำงานร่วมกับเอ็นเอฟซี ใช้งานได้ที่อเมริกาเท่านั้น ถ้าใช้งานได้ในบ้านเราก็คงจะสะดวกมากทีเดียว
หลายๆ คนคาดหวังว่ากล้องจะมีความละเอียดสูงขึ้น แต่เปล่าเลย เท่ากับรุ่นก่อน 8 ล้านพิกเซล แต่นำเอาเทคโนโลยีการถ่ายภาพใหม่ๆ มาใช้เพื่อให้ถ่ายภาพได้ดียิ่งขึ้น ยกตัวอย่างระบบกันสั่นที่ตัวเลนส์ หรือที่เรียกกันว่า OIS (Optical Image Stabilization), การถ่ายภาพพาโนรามาที่ให้ความละเอียดสูงสุด 43 ล้านพิกเซล, ถ่ายวิดีโอจากเดิมถ่ายได้ที่ 60 เฟรมต่อวินาที จากเดิมได้ที่ 30, ถ่ายวิดีโอแบบสโลโมได้เนียนขึ้นที่ 240 เฟรมต่อวินาที จากเดิมได้ที่ 120, มีระบบกันภาพสั่น และโฟกัสภาพต่อเนื่องขณะถ่ายวิดีโอ ส่วนการถ่ายเซลฟี่ก็มีกล้องหน้า 1.2 ล้านพิกเซล และใช้เฟสไทม์ไปด้วยในตัว
ในด้านการเชื่อมต่อก็ยังคงรองรับทั้ง 3จี, 4จี แอลทีอี ใช้งานได้ทุกเครือข่ายเช่นเดิม แต่เพิ่มการรองรับการโทรผ่านเครือข่ายแอลทีอี หรือที่เรียกว่า VoLTE โดยจะใช้งานในเครือข่ายที่รองรับเท่านั้น สำหรับบ้านเราต้องรอไปก่อน สำหรับการใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์แมคระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ OS X Yosemite ระบบจะเชื่อมต่อผ่านบลูทูธ เพื่อแจ้งเตือนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ และยังรับสาย คุยโทรศัพท์ พิมพ์ส่งข้อความ แก้ไขงานเอกสารได้จากคอมพิวเตอร์ทันทีสะดวกสำหรับสาวกแอปเปิ้ลจริงๆ
กูรูฟันธง
อยากจะบอกว่ามันใหญ่กว่า iPhone 5s รุ่นเก่ามากๆ ถ้าเปลี่ยนจาก iPhone รุ่นก่อนมาใช้ iPhone 6 Plus คุณจะพบกับความลำบากแน่ๆ บางที iPhone 6 หน้าจอ 4.7 นิ้วอาจจะเป็นทางออก สำหรับใครที่อัดอั้นกับจอเล็กๆ หรือใช้แอนดรอยด์จอใหญ่ๆ มาก่อนคงจะไม่เป็นปัญหา การใช้งานก็ให้ประสบการณ์ที่ดีเช่นเดิม ทั้งดีไซน์ วัสดุ ความหรูหราตามสไตล์ของ iPhone จะเปิดเวบไซต์ ดูคลิปวิดีโอ ดูยูทูบก็เต็มตาสะใจ ใช้งานได้นานกว่าเดิมด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้น สำหรับราคาเริ่มต้นขอ iPhone 6 Plus นี่ค่อนข้างโหด ในรุ่นเริ่มต้น 16 กิกะไบต์ก็เกือบ 3 หมื่นเข้าไปแล้ว ถ้าเป็นสาวกแอปเปิ้ลกันจริงก็จัดไปได้เลย
ข้อดี
- ระบบปฏิบัติการ iOS 8 ระบบมีความเสถียรสูง
- หน้าจอขนาดใหญ่ 5.5 นิ้ว เคลือบสารกันรอยนิ้วมือ
- หน่วยประมวลผลใหม่ A8 และ M8 และจีพียูแบบควอด-คอร์
- มีหน่วยความจำให้เลือก 16, 64 128 กิกะไบต์
- กล้อง 8 ล้านพิกเซล ระบบกันสั่นที่ตัวเลนส์ แฟลชแอลอีดีแบบทูโทน
- กล้องวิดีโอแบบฟูลเอชดี โฟกัสภาพต่อเนื่องขณะถ่าย
- เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์แมคใช้งานได้หลายฟังก์ชั่น
- มีระบบสแกนลายนิ้วมือ ใช้ปลดล็อค ซื้อแอพฯ ได้สะดวกขึ้น
- รองรับการเชื่อมต่อผ่าน 3จี, 4จี, ไว-ไฟ, บลูทูธ, เอ็นเอฟซี
- มีแอพฯ สำหรับใช้งานเอกสารให้ดาวน์โหลดฟรี
- แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ใช้งานได้นานขึ้น
ข้อเสีย
- เอ็นเอฟซียังไม่มีประโยชน์มากนัก
- ตัวเครื่องค่อนข้างใหญ่ ใช้งานมือเดียวไม่ถนัด
- เพิ่มหน่วยความจำภายนอกไม่ได้
- ราคาค่อนข้างสูง
รูปตัวเครื่อง iPhone 6 Plus
รูปหน้าจอ iPhone 6 Plus