เป็นประจำทุกปีที่ Apple จะจัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น iPad, iPod touch, Apple TV และแน่นนอนว่างานรอบปลายปีนี้จะต้องมีการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ที่ต่อจาก iPhone 6 และ iPhone 6 Plus สำหรับปีนี้ Apple ได้จัดงานเปิดตัวขึ้นในวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา ได้มีการย้ายสถานที่จัดงานจาก Flint Center ที่เปิดตัว iPhone 5s, iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ในปีก่อนๆ มาเป็น Bill Graham Civic Auditorium ซึ่งสถานที่ใหม่นี้สามารถจุสื่อมวลชนได้ถึง 7,000 คนเลยทีเดียว และทาง Apple ได้มีการจองสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่วันที่ 4 ถึง 13 กันยายนเพื่อจัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่โดยเฉพาะ
และสำหรับครั้งนี้ก็ได้มีการคาดเดาสิ่งต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น iPhone 6s, iPhone 6s Plus พร้อมกับ iPad รุ่นใหม่ที่คาดกันว่าจะมาพร้อมกับปากกา และยังมีการคาดเดาว่า Apple จะนำโปรเจ็ค iPhone ราคาประหยัดกลับมาในชื่อ iPhone 6c อีกครั้ง สำหรับงานเปิดตัวนี้จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อะไรและมีอะไรใหม่บ้างนั้น ไปดูกันเลยครับ
Apple Watch
ถึงแม้จะเปิดตัวและวางจำหน่ายไปแล้วสำหรับสมาร์ทวอชจากแอปเปิ้ล มาคราวนี้เป็นการเปิดตัวสีใหม่ สีทอง และโรสโกลด์ เพื่อจับกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบสีทองมากขึ้น นอกจากนี้ยังร่วมมือกับ Hermes แบรนด์ดังในการทำกระเป๋าและเครื่องหนังมาทำสายหนังสำหรับ Apple Watch โดยเฉพาะขึ้นมา เพื่อจับกลุ่มผู้ใช้งานผู้หญิงมากขึ้น
apple watch hermes
อีกทั้งยังมีการพูดถึง Watch OS2 ระบบปฏิบัติการใหม่สำหรับ Apple Watch ที่เปิดให้อัพเกรดใช้งานกันไปแล้ว พร้อมกับแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ อาทิ facebook messenger, iTranlate แอพพลิเคชั่นสำหรับแปลภาษาที่รองรับถึง 90 ภาษา และฟีเจอร์สำหรับตรวจสุขภาพสำหรับหมอและคนไข้อีกด้วย
iPad Pro
หลังจากที่มีข่าวลือว่า Apple เตรียมผลิต iPad ที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นนั้น ค่ำคืนวันที่ 9 กันยายน Apple ก็ได้มีการเปิดตัว iPad Pro แท็บเล็ตที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ถึง 12.9 นิ้ว พร้อมนำเทคโนโลยี Force touch ที่ใช้งานบน Apple Watch อยู่ก่อนหน้านี้มาใช้งานบน iPad Pro รุ่นนี้อีกด้วย และเนื่องจากที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ คีย์บอร์ดแบบสัมผัสของ iPad Pro จึงเป็นแบบฟูลไทป์ ที่มีหน้าตาเหมือนกับคีย์บอร์ดบนแมคบุ๊ค ทำให้การพิมพ์บนหน้าจอของ iPad Pro นั้นง่ายขึ้น
iPad Pro Multitask
iPad Pro จะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 9 ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์มัลติทาสก์ ที่สามารถเปิดแอพพลิเคชั่นพร้อมกันได้ถึง 2 แอพฯ และสามารถทำงานข้ามแอพพลิเคชั่นได้ เช่น การก็อปปี้ข้อมูลจากแอพฯ แรกไปยังแอพฯ ที่ 2 ด้วยการลากไปวางได้ทันที และด้วยชิพประมวลผลใหม่ A9X ประสิทธิภาพการทำงานเทียบเท่ากับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแล้ว และทำงานได้เร็วกว่า 22 เท่าจากไอแพดรุ่นแรก พร้อมกันนี้การเล่นเกมยังใช้เทคโนโลยี Metal สำหรับการแสดงผลกราฟิกของเกมให้สวยงามและลื่นไหลมากขึ้น
smart keyboard, apple pencil
พร้อมกันนี้ยังมีการเปิดตัวอุปกรณ์เสริมสำหรับการพิมพ์ที่ครบเครื่องมากขึ้น Smart Keyboard ที่เป็นทั้งเคสและคีย์บอร์ดไปในตัว ซึ่งปุ่มของ Smart Keyboard นี้ จะใช้เทคโนโลยีเดียวกับปุ่มคีย์บอร์ดบน MacBook รุ่นใหม่ นอกจากนี้ยังเปิดตัว Apple Pencil ปากกาสำหรับวาดเขียนบนหน้าจอ iPad Pro ที่รองรับการลงน้ำหนัก, องศาในการเขียนได้อย่างละเอียด อีกทั้งยังมีขนาดเท่าๆ กับดินสอทั่วไป ทำให้การจับใช้งานต่างๆ นั้นเหมือนกับการเขียนกับดินสอมากขึ้น และจุดเด่นของงานนี้ก็คือการร่วมมือกับทาง Microsoft ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้ง 2 ฝั่งไม่ค่อยถูกคอกันซักเท่าไรนัก การร่วมมือในครั้งนี้เป็นส่วนของแอพพลิเคชั่น Microsoft Office ได้แก่ Word, Excel และ PowerPoint ที่รองรับการเขียนจาก Apple Pencil อีกด้วย
ipad pro apple pencil
iPad Pro จะมี 3 สีให้เลือก ได้แก่ สีเงิน, ทอง และสเปซ เกรย์ มีรุ่นความจุ 32 และ 128 GB สำหรับรุ่น Wi-Fi และ 128 GB สำหรับรุ่นใส่ซิมการ์ดได้
สเปค iPad Pro
● หน้าจอ 12.9 นิ้ว ความละเอียด 2732 x 2048 พิกเซล
● ชิปประมวลผล A9X สถาปัตยกรรมแบบ 64 บิท
● ลำโพงสปีกเกอร์ 4 จุด
● ใช้งานยาวนาน 10 ชั่วโมง
● กล้องหลัง iSight ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
● รองรับสแกนลายนิ้วมือ
● ไว-ไฟ, บูลทูธ และ 4จี แอลทีอี (สำหรับรุ่นที่ใส่ซิมได้)
Apple TV
Apple TV รุ่นใหม่ที่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพและปรับเปลี่ยนหน้าตาการใช้งานใหม่ รายละเอียดของเนื้อหา, ไอค่อนต่างๆ ใหญ่และชัดเจนขึ้น รวมถึงรูปแบบไอคอนแนวเดียวกับระบบปฏิบัติการ iOS 9 พร้อมกันนี้ยังมี iTunes, Netflix, Hulu และ Showtime สำหรับการฟังเพลงหรือดูภาพยนตร์จากช่องทางเพิ่มเติม
apple tv screen
นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม App Store สำหรับการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นหรือเกมเพื่อเล่นบน Apple TV เข้ามา และการเล่นเกมนั้นจะต้องใช้คู่กับรีโมทใหม่ที่มีชื่อเรียกว่า Siri Remote โดยจะมีส่วนสัมผัสที่เรียกว่า Touch Surface อยู่ด้านบน ใช้สำหรับการควบคุมทิศทาง และแตะเพื่อเลือกเมนูต่างๆ และมีเซ็นเซอร์ไจโสโคป,เซ็นเซอร์วัดความเร่งไว้ใช้สำหรับเล่นเกมจำพวกโมชั่นคอนโครลที่ต้องใช้ความเคลื่อนไหวในการเล่นเกม เช่นเกม ตีเบสบอล เป็นต้น
apple tv siri
Siri ผู้ช่วยดิจิตอลบนระบบปฏิบัติการ iOS ยังถูกนำมาใช้งานกับ Apple TV รุ่นใหม่นี้ด้วย โดยสามารถค้นหาภาพยนตร์จากชื่อ, นักแสดง, แนวภาพยนตร์ โดยสามารถสั่งค้นหาซ้อนไปเรื่อยๆ จนได้ตามความต้องการได้ และทาง Apple ได้มีการตั้งชื่อระบบปฏิบัติการของ Apple TV นี้ว่า tvOS
iPhone 6s และ iPhone 6s Plus
ขาดไม่ได้สำหรับการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ สำหรับปีนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนไปใช้ชื่อ iPhone 7 ยังคงไล่ชื่อตามรูปแบบเดิมอยู่ โดยมีชื่อว่า iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ตามรอยจากปีที่แล้ว ยังคงหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้ว ตามลำดับ
iPhone 6s, 6s Plus color
สำหรับดีไซน์ยังคงไม่ต่างจากรุ่นที่แล้ว แต่มีการเปลี่ยนวัสดุเป็นอลูมิเนียม 7000 แบบเดียวกับ Apple Watch Sport เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเครื่อง ให้คนที่ชอบงอ iPhone เล่นได้ออกแรงมากขึ้นสำหรับการงอ จึงส่งผลให้ขนาดตัวเครื่องมีการเพิ่มขนาดมาเล็กน้อย โดยสูงขึ้น 0.2 มิลลิเมตร สำหรับรุ่น iPhone 6s และสูงขึ้น 0.1 มิลลิเมตรสำหรับรุ่น iPhone 6s Plus กว้างขึ้น 0.1 มิลลิเมตร และสูงขึ้น 0.2 มิลลิเมตร และหนักขึ้นกว่าเดิมอีก 20 กรัม มีการเพิ่มสีใหม่ สีโรสโกลด์ หรือสีทองชมพู เอาใจผู้ใช้งานที่เป็นผู้หญิงมากขึ้นด้วย
3d touch
Apple ยังมีการปรับปรุงจอมัลติทัชของ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ให้ดีขึ้น โดยมีชื่อใหม่ว่า 3D touch โดยจะมีการใส่เซ็นเซอร์ไว้ในชั้นส่วนประกอบของจอ เพื่อตรวจสอบว่านิ้วที่สัมผัสหน้าจอนั้นเป็นการแตะหรือการกด โดยจะทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์วัดความเร่งและ Taptic Engine ที่จะสั่นตอบสนองต่อการกดหน้าจอ สำหรับ 3D touch นี้จะอำนวยความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น ด้วยการแตะที่ไอค่อนแล้วเลือกเมนูต่างๆ ที่เราจะใช้งานจริงๆ ลักษณะเหมือนกับการคลิกขวาบนคอมพิวเตอร์นั่นเอง นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานภายในแอพพลิเคชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูรูปภาพ, อ่านอีเมล์ อำนวยความสะดวกในการใช้งาน ลดขั้นตอนการแตะ 2-3 ครั้งไปเลย
iPhone 6s A9
ในส่วนของสเปคภายในมีการใช้ชิพประมวลผล A9 ใหม่ที่เร็วขึ้น 70% พร้อมกับกราฟฟิคที่ดีขึ้น 90% เมื่อเทียบกับชิพประมวลผล A8 ที่อยู่ใน iPhone 6 และ iPhone 6 Plus พร้อมกับหน่วยประมลผลร่วมใหม่ M9 ที่ทำให้เซ็นเซอร์ต่างๆ ในเครื่องทำงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอุปกรณ์สุขภาพที่ถูกใช้งานอยู่ตลอดเวลา รวมถึงตอบสนองคำสั่งเรียกใช้งาน Siri ได้ง่ายขึ้น มีการเปลี่ยน touch ID เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใหม่เช่นกัน โดยจะทำงานได้แม่นยำและรวดเร็วขึ้น และรองรับการใช้งาน 4G LTE ทั่วโลกมากขึ้น
iphone 6s camera
หลังจากที่ใช้งานกล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซลมาตั้งแต่ iPhone 4s และมีการพัฒนาให้ถ่ายรูปภาพได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้มีการเปลี่ยนมาใช้กล้องหลัง iSight Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลใน iPhone 6s และ iPhone 6s Plus พร้อมปรับปรุงให้การถ่ายรูปภาพได้ดีขึ้นเช่นกัน โดยสามารถถ่ายภาพพาโนรามาได้ที่ความละเอียด 63 ล้านพิกเซล และรองรับการบันทึกวิดีโอระดับ 4K แล้ว ในส่วนของกล้องหน้าเพิ่มความละเอียดมาเป็น 5 ล้านพิกเซล พร้อมฟีเจอร์ Retina Flash ที่ใช้แสงกระพริบจากหน้าจอมาเป็นแฟลช ลดปัญหาตาแดงจากแสงแฟลช และฟีเจอร์ทีเด็ดที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ Live Photos บันทึกเป็นภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงได้ โดยตอนถ่ายให้ทำการเลือกไอคอน Live ก่อน แล้วถ่ายรูปไปตามปกติ เมื่อต้องการดูรูปที่ถ่ายแบบ Live เพียงแค่แตะแบบกดลงไปเบาๆ บนภาพ ภาพนิ่งดังกล่าวจะเคลื่อนไหวสั้นๆ พร้อมเสียงให้ทันที สามารถเปิดดูจากทุกอุปกรณ์ของ Apple
สำหรับ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ได้วางจำหน่ายในกลุ่มประเทศแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา แน่นอนว่ากลุ่มประเทศแรกนี้ยังไม่มีประเทศไทย มารอลุ้นกันว่าประเทศไทยจะอยู่ในกลุ่มประเทศรอบที่เท่าไร แต่คาดว่าอาจจะเป็นในช่วงปลายเดือนตุลาคมเหมือนปีที่แล้วก็เป็นได้
นอกจากนี้ Apple ยังมีการนำผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่อย่าง iPad mini 4 ขึ้นไปยังหน้าเว็บไซต์ www.apple.com อย่างเงียบๆ โดยในงานเปิดตัวไม่ได้พูดถึงรุ่นนี้เลย