iPhone 7 Plus
iPhone 7 Plus มาพร้อมกับรูปทรงที่คุ้นเคยที่มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่านี่แหละคือ iPhone มีดีไซน์การซ่อนเสาอากาศแบบใหม่ โดยมาพร้อมกับการดีไซน์ตัวเครื่องที่คุ้นเคยในแบบยูนิบอดี้ ไร้รอยต่อ และใช้วัสดุคืออะลูมิเนียม ซีรีส์ 7000 โดยข้อดีของอลูมิเนียมแบบนี้ก็คือแข็งแกร่งกว่าอลูมิเนียมปกติถึง 60%
ด้านหน้ามีกล้อง FaceTime HD ขนาด 7 ล้านพิกเซล ลำโพงสนทนาและลำโพงสเตอริโอ หน้าจอ 5.5 นิ้ว และปุ่ม Home พร้อม Touch ID
ด้านขวามีปุ่ม Power สำหรับเปิดปิดเครื่อง และช่องใส่ถาดซิม (ต้องใช้เข็มจิ้มถาดซิมออกมา)
ด้านหลังมีกล้องคู่ 12 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช 4 ดวง
ด้านซ้ายมีสวิตซ์เปิดปิดเสียง ถัดลงมาเป็นปุ่มปรับเพิ่มลดระดับเสียง
ด้านล่างมีลำโพงสนทนาและลำโพงสเตอริโอ พอร์ต Lightning
ซีพียูใหม่ A10 Fusion
iPhone 7 Plus มาพร้อมกับ CPU ตัวใหม่ A10 Fusion เป็นซีพียูแบบ 4 คอร์ โดยแบ่งเป็น 2 คอร์ประสิทธิภาพสูง และ 2 คอร์ประหยัดพลังงาน โดย Apple บอกว่า CPU แบบใหม่นี้เร็วขึ้นมากกว่า CPU รุ่น A9 ถึง 40% นอกจากนี้ยังมีชิพกราฟิก หรือ GPU ในแบบ 6 คอร์ ให้ประสิทธิภาพการประมวลผลทางกราฟิกที่ดีกว่า A9 ถึง 2 เท่า
ความจุสูงสุดเพิ่มเป็น 256 GB
ครั้งแรกของ iPhone ที่มาพร้อมกับความจุสูงสุดถึง 256 GB มากกว่าความจุสูงสุดของ iPhone 6s ถึง 2 เท่า ทำให้ไม่ต้องกังวลแล้วว่า iPhone 7 Plus ของคุณจะความจำเต็มอีกต่อไป ส่วนความจุเริ่มต้นของ iPhone 7 Plus นั้นจะอยู่ที่ความจุ 32 GB ถัดไปเป็น 128 GB และ 256 GB ตามลำดับ
หน้าจอ Retina HD ตัวใหม่
จอภาพ Retina HD บน iPhone 7 Plus นั้นเป็นจอแบบใหม่ มาพร้อมกับขอบเขตของสีที่กว้างขึ้น และสว่างมากกว่า iPhone 6s ถึง 25% และขนาดหน้าจอของ iPhone 7 Plus นั้นจะมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ 5.5 นิ้ว พร้อมความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล (ใหญ่และละเอียดกว่า iPhone 7 ที่มีหน้าจอ 4.7 นิ้ว และมีความละเอียดเพียง 1334 x 750 พิกเซล) นอกจากนี้ยังคงมีฟีเจอร์ 3D Touch แบบเดียวกันกับ iPhone 6s เช่นเคย
สีใหม่ Jet Black
iPhone 7 Plus นั้นมาพร้อมกับสีทั้งหมดถึง 5 สีด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็น iPhone ที่มีสีให้เลือกมากที่สุดก็ว่าได้ นอกจากนี้ยังมีสีใหม่ล่าสุดที่หลายๆคนกล่าวถึงกัน ซึ่งมีชื่อเรียกว่าสีดำเจ็ทแบล็ค (Jet Black) ที่เป็นสีดำในแบบเงาสูง โดย Apple ระบุว่าสีดำเจ็ทแบล็คนี้เกิดจากกระบวนการชุบผิวและขัดเงาทั้งหมด 9 ขั้นตอนถึงจะได้พื้นผิวแบบนี้มา และผิวสัมผัสของสีดำเจ็ทแบล็คบน iPhone 7 นี้ก็แข็งแกร่งเทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์ชุบผิวตัวอื่นๆของ Apple แต่อย่างไรก็ตามพื้นผิวของสีดำเจ็ทแบล็คบน iPhone 7 ก็เป็นรอยขนแมวได้ง่าย ดังนั้น Apple ได้ขึ้นคำเตือนบนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของตนเองไว้ว่า “พื้นผิวที่มันเงาสูงนี้อาจเผยให้เห็นรอยขีดข่วนเล็กน้อยเมื่อผ่านการใช้งาน ซึ่งถ้าหากคุณยังเป็นกังวล เราแนะนำให้ใช้เคสที่มีให้เลือกสรรมากมายเพื่อปกป้อง iPhone ของคุณ” เพราะฉะนั้นใครที่จะใช้ iPhone 7 สีใหม่สีเจ็ทแบล็ค (Jet Black) ก็ต้องใช้โดยระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ iPhone 7 สีนี้เป็นรอยครับ โดยสัมผัสของ iPhone 7 สีเจ็ทแบล็คนี้จะแตกต่างจาก iPhone 7 ในสีอื่นๆที่มีผิวสัมผัสลื่นๆ แต่สีเจ็ทแบล็คนี้จะมีสัมผัสในแบบหนืดๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะทำมาเพื่อป้องกันการลื่นหลุดมือของรุ่นนี้นั่นเอง และสีใหม่สีเจ็ทแบล็คนี้จะมีขายเฉพาะรุ่นความจุ 128 GB และ 256 GB เท่านั้น (ไม่มีในรุ่นความจุ 32 GB)
iPhone รุ่นแรกที่กันน้ำกันฝุ่น
นี่คือ iPhone รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของ Apple ก็ว่าได้ที่มีการเพิ่มคุณสมบัติในการกันน้ำกันฝุ่นในระดับมาตรฐาน IP67 ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งาน iPhone 7 นั้นสามารถป้องกันเครื่องไม่ให้เสียหายจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น เผลอปัดแก้วน้ำแล้วน้ำหกใส่ iPhone หรือเผลอทำ iPhone 7 ตกลงไปห้องน้ำ หรือขณะนั้นมีฝนตกลงมา เป็นต้น และ Apple ได้ให้คำแนะนำในเรื่องของความสามารถในการกันน้ำกันฝุ่นของ iPhone 7 ไว้ว่า ถึงเครื่อง iPhone 7 จะกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP67 ตามมาตรฐาน IEC 60529 ก็ตาม ก็ห้ามทำการชาร์จ iPhone ในขณะที่เครื่องยังเปียกอยู่ และ Apple จะไม่รับประกันเครื่องจากความเสียหายทางน้ำทุกกรณี ไม่ว่าเครื่องจะรั่วซึม หรือเกิดจากความชื้น เพราะฉะนั้นก็ระมัดระวังกันดีๆ นะครับ
ปุ่ม Home แบบใหม่
โดยปกติสิ่งที่หลายๆ คนกังวลกันเมื่อใช้งาน iPhone ก็คือปุ่ม Home นี่เอง โดยปุ่ม Home บน iPhone 7 Plus นั้นจะเป็นปุ่ม Home ในลักษณะที่ไม่สามารถกดยุบลงไปได้อีกแล้ว โดยปุ่ม Home บน iPhone 7 Plus นั้นจะกลายเป็นปุ่มที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกันกับฟีเจอร์ Force Touch บน MacBook และ MacBook Pro ซึ่งปุ่ม Home ใหม่ก็จะรับแรงกดได้ดีขึ้น และพังยากขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ Apple ยังใส่ Taptic Engine ที่ช่วยตอบสนองของการกดปุ่ม Home ไว้ทั้งหมด 3 ระดับด้วยกัน ไล่ตั้งแต่ระดับเบาไปจนถึงหนักนั่นเอง แล้วแต่ว่าผู้ใช้งานจะเลือกการสั่นแบบไหน และปุ่ม Home แบบใหม่นี้จะใช้ระยะเวลาในการเรียนรู้กว่าจะคุ้นชินก็สักพักนึงเลยทีเดียวครับ เพราะด้วยฟีเจอร์ของปุ่ม Home นั้นมีด้วยกันเยอะ เมื่อกดปุ่ม Home แบบใหม่ไม่ชินก็จะใช้งานบางอย่าง งงๆ เช่น กดไปแล้วแต่รู้สึกเหมือนยังไม่กด ก็จะกลายเป็นการเปิด Recent app หรือกดค้างไว้ ก็อาจจะกลายเป็นเรียก Siri ขึ้นมา หรือกดย้ำๆ เบาๆ ก็จะกลายเป็นฟีเจอร์ย่อหน้าจอ Reachability เป็นต้นครับ แต่เมื่อใช้งานจนชินก็จะสามารถกดใช้งานปุ่ม Home แบบใหม่ได้เป็นปกติครับ
กล้องหน้าใหม่ 7 ล้านพิกเซล FaceTime HD
กล้องหน้าบน iPhone 7 Plus นั้นเป็นกล้องหน้าแบบใหม่ มาพร้อมกับความละเอียด 7 ล้านพิกเซล คมชัดขึ้น จับภาพได้เร็วขึ้น และยังมีระบบป้องกันการสั่นไหวของภาพสามารถเซลฟี่ได้ง่ายขึ้น ด้วยระบบที่ Apple เรียกว่า Auto Image Stabilization (AIS) ซึ่งกล้องหน้าใหม่ก็น่าจะถูกใจคนชอบเซลฟี่กันนะครับ
กล้องหลังใหม่ ถ่ายในที่มืดได้ดีขึ้น และกล้องคู่ Dual Camera
แน่นอนว่าเรื่องพัฒนาการของกล้องนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่หลายๆ คนเปลี่ยนจาก iPhone รุ่นเก่า หรือเปลี่ยนจากมือถือรุ่นอื่นมาเป็น iPhone 7 Plus ก็ว่าได้ ซึ่งกล้องบน iPhone 7 Plus ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นมาก มีการโฟกัสที่รวดเร็ว มาพร้อมกับกล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีรูรับแสงกว้างสุดที่ F/1.8 ชุดชิ้นเลนส์ 6 ชิ้น โดยกล้องบน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus นั้นสามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้เป็นอย่างดี (Apple บอกว่าสามารถถ่ายภาพในที่มืดได้ดีกว่า iPhone 6s ถึง 3 เท่า) มีระบบป้องกันการสั่นไหวของภาพ Optical Image Stabilization (OIS) และมีไฟแฟลชแบบใหม่ True Tone แบบ LED 4 ดวง ซึ่งจะสว่างกว่า iPhone 6s ถึง 50% และปรับเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิของสีโดยรอบในขณะนั้น นอกจากนี้ยังสามารถบันทึกวีดีโอได้ที่ระดับสูงสุดคือ 4K และบันทึกวีดีโอสโลโมชั่นได้สูงสุดที่ 1080p
Dual Camera คือข้อแตกต่างของ iPhone 7 Plus ที่เพิ่มเติมขึ้นมาจาก iPhone 7 และนี่คือครั้งแรกของ Apple ที่มี iPhone ที่มีกล้องคู่เกิดขึ้นครับ โดยกล้องคู่ของ iPhone 7 Plus จะแบ่งการทำงานเป็นลักษณะดังนี้ กล้องตัวแรกเป็นกล้องแบบเดียวกับ iPhone 7 คือ เลนส์มุมกว้าง ระยะ 28mm และ F/1.8 ส่วนกล้องอีกตัวที่เพิ่มเข้ามาคือ เลนส์เทเลโฟโต้ (ระยะ 56mm) ทำให้ iPhone 7 Plus จะสามารถถ่ายรูปแบบซูม Optical (ซูม 2x) ได้อย่างคมชัด และสามารถซูมได้สูงสุดคือระยะ 10x ซึ่งการซูมในแบบหลังจะเป็นการซูมด้วยซอฟต์แวร์ และถ้าเปิดซูมสูงสุดถึง 10x ภาพที่ถ่ายได้ก็จะไม่คมชัดสักเท่าไหร่ มี Noise ให้เห็น แต่ถ้าใช้การซูมในแบบ 2x จะให้ภาพที่มีความคมชัดมากกว่า
โหมดใหม่ Portrait ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ
นี่คือโหมดใหม่บน iPhone 7 Plus จากความสามารถของกล้องคู่ ทำให้ iPhone 7 Plus สามารถถ่ายภาพในแบบหน้าชัดหลังเบลอ ที่หลายๆ คนชื่นชอบ คล้ายๆ กับการถ่ายภาพจากกล้อง DSLR โดยโหมด Portrait ของ iPhone 7 Plus นี้ยังอยู่ในสถานะ beta อยู่ แต่ Apple ก็เปิดให้ใช้งานแล้วบน iOS 10.1
สำหรับการทำงานของโหมด Portrait นี้ เมื่อเปิดกล้องและกดเข้าโหมดนี้ก็จะเข้าสู่ระยะซูม 2x ทันที (เป็นระยะ 56mm) และหลังจากนั้นเมื่อได้ระยะพอดีกับที่ซอฟต์แวร์ของโหมดนี้ต้องการ (โหมดนี้มีระยะของ iPhone กับวัตถุที่ราวๆ 8 ฟุต และต้องมีสภาพแสงที่ดี) แถบสีเหลืองที่มีคำว่า depth effect ก็จะปรากฏขึ้น พร้อมกับแสดงผลหลังเบลอให้เราได้เห็นทันที ซึ่งหลังจากที่เรากดถ่ายภาพไปแล้วก็จะได้ภาพ 2 ภาพเสมอ โดยภาพแรกเป็นภาพธรรมดา และอีกภาพเป็นภาพหน้าชัดหลังละลาย โดยโหมด Portrait บน iPhone 7 Plus นี้เราสามารถทำการถ่ายภาพได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ อาหาร ไม่จำเป็นต้องถ่ายบุคคลอย่างเดียวครับ
ลำโพงสเตอริโอครั้งแรกบน iPhone
ครั้งแรกบน iPhone 7 Plus กับระบบเสียงสเตอริโอที่ดังขึ้นกว่า iPhone 6s ถึง 2 เท่า ให้เสียง Dynamic range ที่กว้างขึ้น ทำให้เวลาดูหนังหรือฟังเพลงหรือเล่นเกมบน iPhone 7 Plus นั้นได้เสียงที่ดังสะใจทีเดียว โดยลำโพงสเตอริโอบน iPhone 7 Plus นั้นจะวางอยู่บริเวณตำแหน่งเดิม 1 ตัว และอีกตัวหนึ่งจะอยู่บริเวณช่องฟังเสียงสนทนาด้านบนของตัวเครื่อง
กล้าตัดช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรออก
Apple พูดเองบนเวทีการเปิดตัว iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ว่าเป็นความกล้าหาญของ Apple ในการเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมเดิมๆ (คือการฟังเพลงผ่านหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรในแบบ Analog) และใส่เทคโนโลยีใหม่เป็นการฟังเพลงในรูปแบบ Digital เข้าไปแทน โดยเมื่อ Apple ตัดพอร์ต 3.5 มิลลิเมตรออกไปแล้ว ก็จะเหลือเพียงพอร์ต Lightning เท่านั้น และหูฟัง EarPods ที่ Apple แถมมาให้นั้นก็จะเป็นหูฟังแบบใหม่เสียบเข้ากับพอร์ต Lightning บน iPhone 7 Plus เลย นอกจากนี้ Apple ยังใจดีแถมสายอแดปเตอร์อีกหนึ่งชิ้นมาให้ในกล่อง iPhone 7 Plus ด้วย นั่นก็คืออแดปเตอร์สำหรับแปลง Lightning เป็น 3.5 มิลลิเมตรสำหรับหูฟังรุ่นเก่า สำหรับใครที่เคยชินกับการฟังเพลงบนหูฟังอันเก่าซึ่งต้องเสียบเข้ากับพอร์ต 3.5 มิลลิเมตร ก็ใช้อแดปเตอร์ที่ Apple แถมมาให้นี้ได้สบายๆ ส่วนถ้าถามว่าถ้าจะฟังเพลงไปด้วย และเสียบชาร์จไฟ iPhone ไปด้วยนั้นจะทำอย่างไร ก็คงจะต้องใช้หูฟังในแบบ Bluetooth หรือถ้าใช้หูฟังอันเก่าร่วมกับอแดปเตอร์ก็จำเป็นต้องมี Dock ของ iPhone (มีขายบน Apple Store) ที่จะทำให้ใช้งานเสียบหูฟังผ่านอแดปเตอร์ Lightning และชาร์จไฟไปพร้อมๆกันได้ครับ
การเชื่อมต่อรองรับทั้ง 4G LTE / 3CA / VoLTE / VoWiFi
iPhone 7 Plus นั้นมาพร้อมกับชิพโมเด็มตัวใหม่ รองรับ 4G LTE ในบ้านเราทั้ง 3 ค่าย คือ AIS, dtac และ True Move H นอกจากนี้ยังรองรับ 3CA (Carrier Aggregation) หรือการนำคลื่นความถี่หลายๆ ย่านมารวมกัน โดยสามารถนำความถี่มารวมได้สูงสุดถึง 3 ย่าน ซึ่งการจะใช้งาน iPhone 7 Plus ให้ได้ความเร็วการเชื่อมต่อ 4G LTE สูงสุดที่ 3CA นั้นก็แล้วแต่โอเปอเรเตอร์และแพ็กเกจที่ใช้งานครับ ในส่วนของ VoLTE (การโทรบน LTE) และ VoWiFi (การโทรผ่าน WiFi) ก็สามารถใช้งานบน iPhone 7 Plus ได้เช่นกัน ซึ่งตรงส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับโอเปอเรเตอร์ที่เราเลือกมาใช้งานกับ iPhone 7 Plus ว่าจะเปิดให้ใช้บริการในส่วนนี้หรือไม่ครับ เพราะตัวเครื่องนั้นรองรับอยู่แล้ว
สรุป
iPhone 7 Plus นั้นคือ iPhone ที่รวมเอาที่สุดของเทคโนโลยี iPhone ของ Apple ในตอนนี้มาไว้ด้วยกัน และเป็น iPhone ที่ดีที่สุดตั้งแต่ Apple เคยผลิตมาแน่นอน ซึ่งความแตกต่างหลักๆของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus นั้นก็คือ ขนาดหน้าจอ (iPhone 7 Plus ใหญ่กว่า), แบตเตอรี่ (iPhone 7 Plus อึดกว่า) , กล้อง (iPhone 7 Plus มีกล้องคู่ และสามารถใช้งานโหมด Portrait หน้าชัดหลังเบลอได้) และสุดท้ายคือส่วนของราคานั่นเอง (iPhone 7 Plus จะแพงกว่า) โดย iPhone 7 นั้นจะมีราคาเริ่มต้นที่ 26,500 บาท และ iPhone 7 Plus จะมีราคาเริ่มต้นที่ 31,500 บาท และทั้ง 2 รุ่นคือ iPhone ในปีนี้ของ Apple ซึ่งถ้าตั้งใจไว้ว่ายังไงก็จะต้องซื้อ iPhone ให้ได้ ทั้งหมดนี้คือข้อแตกต่างของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus
ข้อดี
- วัสดุดี อลูมิเนียมยูนิบอดี้ไร้รอยต่อ
- หน้าจอ Retina HD ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล
- CPU ตัวใหม่ Apple A10
- ให้ความจุสูงสุด 256 GB
- ระบบปฏิบัติการ iOS 10.1
- รองรับการสแกนลายนิ้วมือ
- กล้องคู่ 12 ล้านพิกเซล F/1.8 พร้อมกันสั่น และซูม Optical 2x
- กล้องหน้า 7 ล้านพิกเซล
- ลำโพงสเตอริโอ
- แบตเตอรี่อึดกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ (iPhone 6s Plus)
- กันน้ำกันฝุ่น IP67
- รองรับ 3CA (LTE Advanced) ในไทย
ข้อเสีย
- Apple Pay ยังใช้งานในไทยไม่ได้
- การใช้งานกล้องคู่ยังค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
- สีใหม่เจ็ทแบล็คเป็นรอยขนแมวค่อนข้างง่าย
- ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
- ไม่มีระบบชาร์จไฟเร็ว Quick Charge
- ราคาสูง
ข้อมูลทั่วไป
ขนาด, น้ำหนัก | 158.2 x 77.9 x 7.3 มม., 188 กรัม |
SIM Card | Nano SIM |
แบตเตอรี่ | Li-ion 2,900 mAh |
เครือข่าย
เครือข่าย 2G | 850 / 900 / 1800 / 1900 MHz |
เครือข่าย 3G | 850 / 900 / 1700 / 1900 / 2100 MHz |
เครือข่าย 4G | 700 / 800 / 850 / 900 / 1700 / 1800 / 1900 / 2100 / 2300 / 2500 / 2600 MHz |
หน่วยความจำ
หน่วยความจำภายใน | 32 / 128 / 256 GB, RAM 3 GB |
หน่วยความจำภายนอก | ไม่รองรับ |
จอแสดงผล
ขนาด | 5.5 นิ้ว |
ความละเอียดและความหนาแน่น | 1080 x 1920 พิกเซล (401 ppi) |
ชนิดและจำนวนสี | LED Backlit IPS LCD 16 ล้านสี |
ระบบ
หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) | Apple A10 Fusion Quad-core 2.23 GHz |
หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) | Hexa-core Graphics |
ระบบปฏิบัติการและอินเทอร์เฟซ | iOS 10 |
การเชื่อมต่อ
Wi-Fi | รองรับ (Wi-Fi Hotspot) |
Bluetooth | รองรับ v4.2 (A2DP, LE) |
NFC | รองรับ (เฉพาะ Apple Pay) |
USB | USB Lightning |
ระบบระบุตำแหน่ง (GPS) | รองรับ (A-GPS, GLONASS) |
มัลติมีเดีย
กล้องถ่ายภาพนิ่ง | |
ความละเอียด | 12 ล้านพิกเซล 2 ตัว / 7 ล้านพิกเซล |
คุณสมบัติ | Quad-LED Flash (dual tone) / 2X Optical Zoom / Live Photo / Phase detection autofocus / Portrait mode |
กล้องวิดีโอ | |
ความละเอียด | 3840 x 2160 (4k) / 1920 x 1080 (ฟูลเอชดี) |
คุณสมบัติ | เลือกขนาดไฟล์วิดีโอ / Slow Motion (120 fps) |
วิทยุ | ไม่มี |
อื่นๆ | รองรับการสแกนลายนิ้วมือ, กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67, สั่งงานผ่าน Siri, 3D Touch |