Redmi Note 11 Pro 5G และ Redmi Note 11 Pro สมาร์ทโฟนทั้งสองรุ่นที่ Xiaomi ทำออกมาแทบไม่ต่างกัน จะมีความแตกต่างกันที่สเป็คเล็กๆ น้อยๆ เจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้งานที่เน้นความคุ้มค่าเป็นหลัก โดยให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ตามความต้องการทั้งเครือข่าย 4G ที่มีราคาถูกกว่า และเครือข่าย 5G ที่ขยับราคาขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนความแตกต่างของทั้งสองรุ่นจะมีอะไรบ้างนั้น เรามาแกะกล่องดูกันเลยครับ
แกะกล่องลองเล่น Redmi Note 11 Pro
กล่องของทั้งสองรุ่นเหมือนกันมากๆ เราจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนนั่นก็คือชื่อรุ่นที่มีเพิ่มคำว่า 5G เข้ามา และส่วนอุปกรณ์ภายในก็มีมาให้เหมือนกันเป๊ะๆ มาแกะกล่องดูกันเลยครับ
กล่องของ Redmi Note 11 Pro
- Redmi Note 11 Pro สี Graphite Gray
- อแดปเตอร์ Mi Turbo Charge 67 วัตต์
- สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-C
- เคสซิลิโคนแบบใส
- ฟิล์มกันรอย
- คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
กล่องของ Redmi Note 11 Pro 5G
- Redmi Note 11 Pro 5G สี Graphite Gray
- อแดปเตอร์ Mi Turbo Charge 67 วัตต์
- สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-C
- เคสซิลิโคนแบบใส
- ฟิล์มกันรอย
- คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
อุปกรณ์ในกล่องมีมาให้เหมือนกัน ทั้งอแดปเตอร์ชาร์จไฟขนาด 67 วัตต์ สาย USB-C และเคสซิลิโคนแบบใส อีกทั้งยังสามารถใช้เคสร่วมกันได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีฟิล์มกันรอยมาให้อีกเช่นเคย ส่วนหูฟังอาจจะต้องหาซื้อเพิ่ม ซึ่งก็มีราคาไม่แพงมากนัก ไม่ว่าจะเป็นหูฟังแบบมีสาย หรือแบบไร้สาย
ดีไซน์แบบเหลี่ยม มาพร้อมจอแสดงผลที่สวยงาม ใหญ่เต็มตา
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าทั้งสองรุ่นนั้นมีขนาดเท่ากันเป๊ะๆ โดยทั้งสองรุ่นมีขนาดกว้าง 76.1 x 164.19 x 8.12 มม. เท่ากัน และมีน้ำหนักเท่ากันที่ 202 กรัม ดีไซน์ขอบของตัวเครื่องเป็นแบบเหลี่ยม หากเคยใช้สมาร์ทโฟนที่ขอบโค้งมนมาก่อนอาจจะรู้สึกแปลกๆ แต่หากใช้ไปสักพักจะพบว่ามันช่วยให้จับถือได้ถนัดมากยิ่งขึ้น ไม่ลื่นหลุดมือได้ง่ายๆ สำหรับสีที่เราได้มาทดสอบทั้งสองเครื่องเป็นสี Graphite Gray หากนำมาวางคู่กันแทบจะมองไม่ออก นอกจากจะสังเกตที่เลนส์กล้อง และที่โลโก้ Redmi จะมีคำว่า 5G เพิ่มเข้ามา ส่วนสีของทั้งสองรุ่นที่มีเหมือนกันคือสี Graphite Gray และสี Polar White ที่ต่างกันคือรุ่น 4G มีสี Star blue และรุ่น 5G สี Atlantic blue ต่อมาเราจะทำการรีวิวภายนอกเทียบกันไปเลย เริ่มจากด้านหน้า
เครื่องที่เราได้มาทดสอบเป็นสี Graphite Gray ตัวเครื่องโดยรวมแล้วเป็นสีเทาเข้ม ดีไซน์ด้านหลังเป็นพื้นผิวแบบด้าน ทำให้ไม่ติดรอยนิ้วมือหรือคราบมันได้ง่ายๆ ไม่ต้องเช็ดทำความสะอาดบ่อยๆ และยังมีสี Twilight Blue และ Pearl White ให้เลือกอีกด้วยตัวเครื่องขนาดกะทัดรัด ไม่ใหญ่จนเกินไป สามารถพกพาได้สะดวก ด้านข้างขอบโค้งรับกับอุ้งมือ แถมยังมีความบางเพียง 8.09 มม. เท่านั้น
จอแสดงผลของทั้งสองรุ่นเป็นจอภาพแบบ AMOLED DotDisplay ขนาดใหญ่ 6.67 นิ้ว ให้สีสันสวยงามกว่าจอ IPS ของรุ่นอื่นๆ มีอัตรารีเฟรชเรทที่ 120 Hz ให้ค่าความสว่างสูงสุดถึง 1200 nit ความละเอียด FHD+ 1080 x 2400 พิกเซล เหนือจอแสดงผลนอกจากจะกล้องหน้าแบบเจาะรูแล้ว ยังมีลำโพงสนทนา เซ็นเซอร์ต่างที่ซ่อนไว้อยู่บริเวณนี้โดยที่ไม่เกะกะสายตา และหากอยู่ในโหมดสแตนด์บายก็มีโหมด Always on Display ที่จะแสดงผลตลอดเวลาขณะปิดหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา หรือการแจ้งเตือนต่างๆ จึงไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูบ่อยๆ
ที่ด้านหลังหากเทียบกันแล้วจะมีความแตกต่างกันตรงที่โลโก้ 5G และเลนส์กล้อง โดยในรุ่น 4G จะมีกล้องมาให้ถึง 4 เลนส์ ส่วนรุ่น 5G มีกล้องมาให้ 3 เลนส์ แต่จะมีคำว่า AI เข้ามาแทนที่ในเลนส์ที่ 4 และสำหรับเลนส์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือเลนส์กล้องความละเอียด 108 ล้านพิกเซล ส่วนฝาหลังของทั้งสองรุ่นใช้วัสดุแบบด้าน จึงไม่ติดรอยนิ้วมือได้ง่ายๆ
ที่ด้านข้างซ้ายดีไซน์แบบโล่งๆ ไม่มีปุ่มดกดใดๆ อยู่ด้านนี้ แต่จะไปอยู่ที่ด้านข้างขวาแทน มีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดปิดเครื่อง และทำหน้าที่เป็นปุ่มสแกนลายนิ้วมือสำหรับปลดล็อคเครื่องไปด้วยในตัว ใช้งานได้ค่อนข้างสะดวกทีเดียว
ด้านบนของตัวเครื่องทั้งสองดีไซน์มาเหมือนกัน มีพอร์ตอินฟราเรดสำหรับสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ร่วมกับแอพฯ Mi Remote ถัดมาเป็นช่องไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนขณะสนทนา มีลำโพงแยกซ้ายขวาเมื่อทำงานร่วมกับลำโพงที่อยู่ด้านล่างเครื่อง และสุดท้ายมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.
ส่วนที่ด้านล่างของตัวเครื่องมีช่องใส่ถาดซิมการ์ด 2 ช่องแบบ Hybrid เป็นแบบถาดประกบบน และล่าง โดยที่ถาดด้านล่างจะต้องเลือกระหว่าง SIM2 หรือการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD ถัดมาเป็นช่องเสียบสายชาร์จแบบ USB-C, ไมโครโฟน และลำโพงของตัวเครื่อง
กล้องหลัง 108 ล้านพิกเซล เลือกถ่ายได้ทุกระยะตามต้องการ
กล้องด้านหลังของทั้งสองรุ่นถ้ามองผ่านๆ จะเห็นว่ามีกล้องเหมือนกัน แต่หากพิจารณาดูดีๆ จะเห็นว่ากล้องหลังของรุ่น 4G จะมีเลนส์มากกว่า นั่นก็คือมีเลนส์ Depth เพิ่มเข้ามา ซึ่งจะทำให้การถ่ายภาพ Portrait หรือภาพบุคคลดูสมจริงมากยิ่งขึ้น ในขณะที่รุ่น 5G มีกล้อง 3 เลนส์ ทำให้การถ่ายภาพ Portrait ต้องอาศัยระบบ AI เข้ามาช่วยในการถ่ายภาพเบลอฉากที่ด้านหลัง แต่ภาพที่ออกมาก็ดูไม่ต่างกันมากนัก และสำหรับสเป็คกล้องของทั้ง 2 รุ่นมีดังนี้
สเป็คกล้อง Redmi Note 11 Pro
- กล้องหลัง 4 เลนส์
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.9 เซ็นเซอร์ขนาด 1/1.52 นิ้ว
- กล้องเลนส์ Ultra wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 118 องศา
- กล้องเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้องเลนส์ Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้องหน้า
- กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
สเป็คกล้อง Redmi Note 11 Pro 5G
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.9 เซ็นเซอร์ขนาด 1/1.52 นิ้ว
- กล้องเลนส์ Ultra wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 118 องศา
- กล้องเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้องหน้า
- กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
จากสเป็คกล้องจะเห็นว่ากล้องเลนส์หลัก 108 ล้านพิกเซลมีเซ็นเซอร์เหมือนกัน เลือกได้เลยว่าจะเอารุ่น 4G หรือ 5G แต่หากถ่ายภาพในโหมดปกติจะถูกลดลงเหลือ 12 ล้านพิกเซล แต่ยังคงใช้เซ็นเซอร์รับภาพขนาดใหญ่อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยการใช้ 9 พิกเซลเพื่อรวมให้เหลือ 1 พิกเซล ซึ่งจะช่วยให้รับแสงได้มากขึ้นเพื่อให้ได้ภาพที่สว่างมากยิ่งขึ้น ทำให้ภาพดูสว่าง และสีสันสวยงามสมจริง แต่หากต้องการถ่ายภาพที่ความละเอียด 108 ล้านพิกเซลก็สามารถเลือกปรับได้ในเมนูการถ่ายภาพ
โหมดการถ่ายภาพของทั้งสองรุ่นก็เหมือนกันเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพบุคคล สามารถปรับค่ารูรับแสง หรือความเบลอของฉากหลังได้ตั้งแต่ f/1.0 (เบลอมากสุด) ไปจนถึง f/16 (เบลอน้อยสุด), โหมด Beautify เลือกปรับความเนียนของใบหน้าได้ถึง 100 ระดับ มี Filters ให้เลือกถึง 13 แบบ ทำให้ภาพมีสีสันที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ยังมีโหมดการถ่ายภาพอื่นๆ มาให้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นโหมด Time-Lapse, Panorama, Night, Document, Slow motion และโหมด Pro ที่สามารถปรับแต่งการถ่ายภาพได้ ทั้งค่าสปีดชัตเตอร์, ค่ารูรับแสง, ISO, White balance เป็นต้น และสำหรับการถ่ายก็สามารถปรับความละเอียดได้สูงสุด FullHD 1080p 30 เฟรมต่อวินาที นอกจากนี้ในรุ่น 5G ยังสามารถถ่ายวิดีโอแบบ Dual Video ซึ่งสามารถแบ่งหน้าจอถ่ายด้วยกล้องหน้ากล้องหลังพร้อมกันได้ด้วย เหมาะกับสาย Vlog ที่ต้องรีวิวสินค้า หรือสถานที่ต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้เห็นผู้รีวิวและ Reaction ของผู้พูดด้วย ส่วนในรุ่น 4G จะไม่มีฟังก์ชั่นนี้
ตัวอย่างภาพจากกล้อง Redmi Note 11 Pro 5G
ตัวอย่างภาพถ่ายเพิ่มเติมเลื่อนลงไปดูได้ที่ท้ายรีวิว
หน่วยประมวลผลแรงต่างกันเล็กน้อย พร้อมระบายความร้อนด้วย LiquidCool technology
นอกจากภายนอกที่ต่างกันเล็กน้อยแล้ว ภายในก็ยังมีความต่างด้วยเช่นกัน โดยในรุ่น 5G นั้นจะมีความเร็วหน่วยประมวลผลที่เหนือกว่าเล็กน้อย อีกทั้งยังรองรับเครือข่าย 5G อีกด้วย ส่วนในรุ่น 4G นั้นใช้หน่วยประมวลผล MediaTek G96 Octa-core ความเร็ว 2.05 GHz เหมือนกับ Redmi Note 11S มีหน่วยความจำภายใน RAM ขนาด 8 GB และ ROM ขนาด 128 GB แต่ส่วนของ RAM นั้นสามารถขยายเพิ่มได้อีก 3 GB รวมเป็น 11 GB โดยดึงหน่วยความจำ ROM มาใช้งานชั่วคราว
ส่วนรุ่น 5G นั้นใช้หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 695 ความเร็ว 2.2 GHz มีหน่วยความจำ RAM 8 GB และ ROM ขนาด 128 GB สามารถขยาย RAM เป็น 11 GB ได้เช่นกัน รวมไปถึงการรองรับหน่วยความจำ microSD ได้อีกสูงสุด 1 TB โดยจะต้องเลือกว่าจะใส่ SIM2 หรือ microSD ระบบปฏิบัติการของรุ่นนี้ยังเป็น Android เวอร์ชั่น 11 พร้อม MIUI เวอร์ชั่น 13 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด รองรับแอพพลิเคชั่น และบริการต่างๆ จาก Google ได้ 100% อีกทั้งยังรองรับการอัพเดทต่างๆ ในอนาคต
เกมเราได้ทดสอบเล่นเกม 3D หนักๆ ที่เราใช้ทดสอบเป็นประจำอย่าง PUBG Mobile สามารถปรับความละเอียดได้สูงสุดที่ระดับ HD และที่เฟรมเรทระดับ High และยังมีโหมด Game Turbo ที่จะช่วยจัดการทรัพยากรในเครื่องให้เล่นเกมได้อย่างลื่นไหล อีกทั้งยังช่วยปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ที่จะเข้ามารบกวนการเล่น และยังสามารถบันทึกภาพนิ่ง หรือคลิปวิดีโอขณะเล่นได้ ปิดหน้าจอแสดงผลขณะปล่อยบอทในเกมเพื่อประหยัดพลังงานได้ หรือสามารถเปลี่ยนเสียงพูดขณะเล่นเกมได้อีกด้วย นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังมีระบบระบายความร้อนด้วยเทคโนโลยี LiquidCool จึงทำให้กระจายความร้อนออกจากหน่วยประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว ไม่เกิดความร้อนสะสม ทำให้เล่นเกมต่อเนื่องได้ไม่มีสะดุด
ผลการทดสอบความเร็วของ Redmi Note 11 Pro
ผลการทดสอบด้วยแอพฯ Antutu 3D Benchmark เวอร์ชั่น 9.3.1 สามารถทำคะแนนได้สูงถึง 322942 คะแนน
ผลการทดสอบด้วยแอพฯ Geekbench 5 ก็สามารถทำคะแนน Single core ได้ 530 และ Multi-core ทำได้ 1772 คะแนน
ผลการทดสอบความเร็วของ Redmi Note 11 Pro 5G
ผลการทดสอบด้วยแอพฯ Antutu 3D Benchmark เวอร์ชั่น 9.3.1 สามารถทำคะแนนได้สูงถึง 397949
ผลการทดสอบด้วยแอพฯ Geekbench 5 ก็สามารถทำคะแนน Single core ได้ 688 และ Multi-core ทำได้ 1881
แบตเตอรี่ความจุสูงถึง 5000 mAh ชาร์จเร็วด้วย Mi Turbo Charge 67 วัตต์
ด้วยแบตเตอรี่ขนาด 5000 mAh เท่ากันทั้งสองรุ่นทำให้การใช้งานต่างๆ ทำได้อย่างยาวนาน หากใช้งานปกติก็สามารถใช้งานได้เต็มๆ 2 วัน แต่หากเล่นเกมหนักๆ อาจจะต้องชาร์จกันวันต่อวัน แต่ไม่ต้องกังวล เพราะตัวเครื่องรองรับการชาร์จเร็วถึง 67 วัตต์ มาพร้อมอแดปเตอร์ Mi Turbo Charge ในกล่อง สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็วทันใจ จากการทดสอบชาร์จแบตเตอรี่เหลือ 1% ชาร์จเพียง 5 นาทีได้ 15%, 10 นาทีได้ 27% และหากชาร์จ 30 นาทีก็จะได้แบตเตอรี่มาถึง 67% โดยหลังจากนี้ระบบจะลดกำลังไฟเพื่อความปลอดภัย และถนอมแบตเตอรี่ไม่ให้ร้อนเกินไป โดยแบตเตอรี่จะเต็ม 100% เมื่อผ่านไป 59 นาที ซึ่งถือว่าค่อนข้างเร็ว โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ หากตื่นเช้ามาลืมชาร์จแบตก็เพียงเสียบชาร์จทิ้งไว้ก็ได้พลังงานเพียงพอสำหรับใช้งานได้ทั้งวันแล้ว
บทสรุป Redmi Note 11 Pro และ Redmi Note 11 Pro 5G ในความเห็นของ What Phone
ขยับขึ้นมาจาก Redmi Note 11S มาเป็น Redmi Note 11 Pro มีให้เลือกใช้งานทั้งสองรุ่น มีหน่วยประมวลผลที่ไม่แตกต่างกันมากนัก โดยในรุ่น 5G นั้นจะมีความแรงเหนือกว่าเล็กน้อย พร้อมรองรับเครือข่าย 5G ในบ้านเราทุกคลื่นความถี่ หรือหากต้องการประหยัดก็สามารถเลือกรุ่น 4G ได้ในราคา และประสิทธิภาพที่ไม่ต่างกันมากนัก จุดเด่นที่เราประทับใจนั่นก็คือหน้าจอแสดงผลมีขนาดใหญ่เต็มตา มีสีสันที่สวยงาม แสดงผลได้ลื่นไหลด้วย Refresh rate สูงถึง 120 Hz มีลำโพงคู่แบบสเตอริโอ จะดูหนัง ฟังเพลงก็รับฟังได้อย่างมิติ มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ชาร์จได้รวดเร็วทันใจ เล่นเกม 3D แบบหนักๆ ก็ยังรับได้ ส่วนราคาค่าตัวนั้นก็ไม่ถึงกับแพงมาก เรียกได้ว่าคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไปแน่นอนครับ
สรุปสเป็ค Redmi Note 11 Pro
- ขนาด 164.19 x 76.1 มม. นัำหนัก 202 กรัม
- รองรับเครือข่าย 4G LTE พร้อมช่องใส่ซิมการ์ด 2 ใบ แบบ Hybrid
- หน้าจอ AMOLED FHD+ ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2400 พิกเซล
- Refresh rate 120 Hz
- หน่วยประมวลผล MediaTek G96 Octa-core ความเร็ว 2.05 GHz
- หน่วยประมวลผลภาพ 3D Mali G57 MC2
- ระบบปฏิบัติการ Android 11, MIUI 13
- หน่วยความจำ RAM 8+3 GB LPDDR4X, ROM 128 GB UFS2.2
- เพิ่มหน่วยความจำภายนอก microSD ได้สูงสุด 1 TB (ช่อง SIM2)
- ระบบปลดล็อคด้วยสแกนลายนิ้วมือด้านข้าง และปลดล็อคด้วยใบหน้า
- กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล f/2.4
- กล้องหลัง 4 เลนส์
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.9 เซ็นเซอร์ขนาด 1/1.52 นิ้ว
- กล้องเลนส์ Ultra wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 118 องศา
- กล้องเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- กล้องเลนส์ Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด Full HD 1080P, 30 เฟรมต่อวินาที
- แบตเตอรี่ 5000 mAh ชาร์จเร็วด้วยอแดปเตอร์ Mi Turbo Charge 67 วัตต์
- ลำโพงคู่แบบสเตอริโอ รองรับ Hi-Res Audio
- การเชื่อมต่อ WiFi, Bluetooth 5.1
- มีให้เลือก 3 สี Graphite Gray, Polar white และ Star blue
- ราคาเปิดตัว 8,999 บาท
สรุปสเป็ค Redmi Note 11 Pro 5G
- ขนาด 164.19 x 76.1 มม. นัำหนัก 202 กรัม
- รองรับเครือข่าย 4G LTE, 5G พร้อมช่องใส่ซิมการ์ด 2 ใบ แบบ Hybrid
- หน้าจอ AMOLED FHD+ ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2400 พิกเซล
- Refresh rate 120 Hz
- หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 695 Octa-core ความเร็ว 2.2 GHz
- หน่วยประมวลผลภาพ 3D Adreno 619
- ระบบปฏิบัติการ Android 11, MIUI 13
- หน่วยความจำ RAM 8+3 GB LPDDR4X, ROM 128 GB UFS2.2
- เพิ่มหน่วยความจำภายนอก microSD ได้สูงสุด 1 TB (ช่อง SIM2)
- ระบบปลดล็อคด้วยสแกนลายนิ้วมือด้านข้าง และปลดล็อคด้วยใบหน้า
- กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล f/2.4
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.9 เซ็นเซอร์ขนาด 1/1.52 นิ้ว
- กล้องเลนส์ Ultra wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 118 องศา
- กล้องเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
- ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด Full HD 1080P, 30 เฟรมต่อวินาที
- แบตเตอรี่ 5000 mAh ชาร์จเร็วด้วยอแดปเตอร์ Mi Turbo Charge 67 วัตต์
- ลำโพงคู่แบบสเตอริโอ รองรับ Hi-Res Audio
- การเชื่อมต่อ WiFi, Bluetooth 5.1
- มีให้เลือก 3 สี Graphite Gray, Polar white และ Star blue
- ราคาเปิดตัว 10,990 บาท