เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ iPhone 11 ไอโฟนรุ่นใหม่ที่จะมาแทนที่ iPhone XR รุ่นของปีที่แล้ว โดยในรุ่นนี้ก็มีหลายอย่างที่เปลี่ยนไป มาดูกันว่าจะมีอะไรที่น่าสนใจในไอโฟนรุ่นใหม่กันบ้าง
มี 6 สีให้เลือก
เป็นไปตามคำบอกใบ้ของหมายเชิญ Apple Special Event ที่ปีนี้จะมีหลายสีให้เลือกเช่นเคย โดยไอโฟน 11 นี้ จะมีให้เลือกถึง 6 สีด้วยกัน ได้แก่ สีดำ, เขียว, เหลือง, ม่วง, แดง (PRODUCT)RED และ ขาว ใครชอบสีนี้ก็เลือกรอไว้เลย
มีให้เลือก 3 ความจุ
เหมือนเป็นประเพณีไปแล้ว ที่จะมีความจุในการจัดเก็บพื้นที่ให้เลือกใช้งาน โดยจะมีความจุให้เลือก 64GB, 128GB และ 256GB แน่นอนว่าแอพพลิเคชั่นสมัยนี้ก็ไม่ได้ใช้พื้นที่น้อยๆ แล้ว หรือ ไฟล์รูปถ่ายและวิดีโอก็ไม่ใช่เล็กๆ เหมือนแต่ก่อน ควรเลือกความจุให้ดี เพราะไอโฟนเพิ่มหน่วยความจำภายนอกไม่ได้นะ
หน้าจอ 6.1 นิ้ว
ยังคงใช้ขนาดหน้าจอเดิมที่ 6.1 นิ้ว Liquid Retina HD ความละเอียด 1792 x 828
กล้องหลังเลนส์คู่ มีเลนส์มุมกว้างแล้ว
มีเลนส์มุมกว้างกับเขาเสียที ในไอโฟน 11 จะมีเลนส์หลักเป็นเลนส์มุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง ƒ/1.8 เซ็นเซอร์แบบใหม่ และเลนส์อัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รับแสง ƒ/2.4 เหมาะสำหรับการถ่ายภาพทิวทัศน์ ทริปท่องเที่ยว ภาพหมู่พื้นที่กว้างใหญ่ภายในอาคาร และช็อตแอ็คชั่นต่างๆ สามารถซูมแบบออปติคอลได้ 2x และทั้งนี้ยังมี Night Mode สำหรับถ่ายในที่แสงน้อยมาให้ใช้งานอีกด้วย
QuickTake ถ่ายวิดีโอได้อย่างรวดเร็ว
ถ่ายวิดีโอได้ทันทีแม้อยู่ในโหมดถ่ายรูปภาพ ด้วยการกดชัตเตอร์ค้างไว้ และปัดไปทางขวา อันนี้อำนวยความสะดวกสำหรับสายถ่ายรูปและวิดีโอพอสมควรเลย และยังรองรับการบันทึกวิดีโอระดับ 4K 60fps ด้วยนะ
ถ่ายเซลฟี่แบบสโลว์โมชั่น
กล้องหน้าอัพเกรดขึ้นมาเป็นความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง ƒ/2.2 และยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Slowfie เป็นการถ่ายวิดีโอเซลฟี่แบบสโลว์โมชั่น 120fps ทำให้มีลูกเล่นในการเซลฟี่เพิ่มไปอีก
ชิปใหม่ A13 Bionic ประสิทธิภาพดีขึ้น ระบบเสียงจัดเต็ม
อัพเกรดเป็นชิพตัวใหม่อย่าง Apple A13 Bionic ที่แอปเปิ้ลเคลมว่าให้ประสิทธิภาพแรงกว่าสมาร์ทโฟนที่มีอยู่บนโลกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการประมวลผล และความเร็วในการประมวลผลภาพ 3 มิติสำหรับเล่นเกม ทั้งยังมาพร้อมกับการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น รองรับ Wi-Fi 6, 4G LTE Advanced และยังมาพร้อมกับระบบเสียงที่กระหึ่มมากขึ้น ระบบเสียงสมจริงรอบทิศทางและรองรับระบบเสียง Dolby Atmos
กันน้ำ กันฝุ่น ได้ดีกว่าเดิม และทนทานกว่าเดิม
กันน้ำ กันฝุ่นมาตรฐาน IP68 ได้ลึกถึง 2 เมตร นานสูงสุด 30 นาที ซึ่งลึกกว่า iPhone XR ถึงสองเท่า และกระจกด้านหน้าและด้านหลังมีการเสริมความแข็งแรงทนทานด้วยกระบวนการแลกเปลี่ยนไอออน
ยังปลดล็อคด้วย Face ID
ระบบความปลอดภัยยังคงใช้งานการปลดล็อคหน้าจอด้วย Face ID อย่างเดียวเช่นเดิม
รองรับการชาร์จเร็ว 18W
นอกจากจะใช้งานได้นานกว่า iPhone XR ถึง 1 ชั่วโมงแล้ว ยังอัพเกรดความสามารถในการชาร์จได้เร็วขึ้น รองรับการชาร์เร็ว 18W ชาร์จได้สูงสุด 50% ภายใน 30 นาที แต่จะต้องซื้อ อะแดปเตอร์แปลงไฟ USB-C ขนาด 18 วัตต์ ราคา 1,190 บาท แยกต่างหาก
ราคาและวันวางจำหน่าย iPhone 11
ราคาเริ่มต้น $699 หรือประมาณ 21,000 บาท สำหรับกลุ่มประเทศแรกเปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้าวันที่ 13 กันยายนนี้ และเริ่มวางจำหน่ายวันที่ 20 กันยายนนี้ ส่วนประเทศไทยรอประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
https://whatphone.net/news/iphone-11-official-launch/