Lady Gaga แวะเวียนมาพูดคุยที่ Apple Music ในรายการ New Music Daily With Zane Lowe เพื่อเล่าถึงเพลงใหม่ล่าสุดอย่าง “Stupid Love” โดยเธอบอกกับ Apple Music ว่า “แน่นอนว่าเป็นแนวแดนซ์” และกล่าวว่า “การทำอัลบั้มนี้เอ่อล้นไปด้วยอารมณ์ ร้องไห้ก็มาก และแต่งกลอนก็บ่อย” เธอกล่าวเสริมว่า: “เราทำเพลงเหล่านี้ออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายแบบเพราะอยากให้สมบูรณ์แบบ และแทบไม่มีใครสนใจว่าใครจะฝากอัตลักษณ์แบบใดเอาไว้ ขอแค่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งเรามอบให้แก่โลก และมีความหมาย มีตัวตนที่แท้จริง และเป็นตัวของฉันเองมากที่สุด” เธอยังเล่าถึงการทำงานร่วมกับ Max Martin, BloodPop และ Tchami เกี่ยวกับการทำเพลง “Stupid Love” รวมถึงเป้าหมายของอัลบั้มใหม่ การเปลี่ยนมุมมองที่คุณมีต่อโลก กระบวนการทำงาน และความแตกต่างในการทำอัลบั้มใหม่เมื่อเทียบกับอัลบั้ม Joanne
เครดิตรายการ New Music Daily with Zane Lowe ที่ Apple Music
ติดตามฟังรายการ New Music Daily with Zane Lowe แบบเต็มๆ ได้ที่ apple.co/nmdb1 บทสัมภาษณ์ฉบับเพิ่มเติมจะออกอากาศในรายการของ Zane ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้
เสียง | Lady Gaga บอกกับ Apple Music เกี่ยวกับเพลงใหม่อย่าง “Stupid Love”, การร่วมงานกับ Tchami, BloodPop® และ Max Martin รวมถึงสิ่งที่จะได้เห็นในอัลบั้มถัดไป
Lady Gaga บอกกับ Apple Music ว่าเรื่องราวของเธอก่อให้เกิด “Stupid Love” ได้อย่างไร…
“ขอบคุณค่ะ ฉันหยิบทุกเรื่องราวที่ผ่านมาใส่ไว้ในอัลบั้มนี้ อย่างเช่นท่อนแรกของเพลง Stupid Love ร้องว่า “เธอคือคนเดียวที่ฉันเฝ้ารอตลอดมา ต้องหยุดร้องไห้เสียที คงไม่มีใครช่วยเยียวยาได้หากฉันไม่เปิดใจ คงยากที่จะทำใจให้เชื่อ ต้องมั่นใจในตัวฉัน” คือเหมือนว่าฉันอยู่ข้างคุณตรงนั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และฉันรู้ว่าทุกคนในโลกพบเจอเรื่องราวความรักที่ต่างกันไป แต่เชื่อไหมว่า ฉันมั่นใจว่าเวลาที่เราทุกคนเลือกที่จะเปราะบาง มันน่าผวาจริงๆ เป็นเรื่องน่าหวาดผวาสำหรับคนจำนวนมาก คือมีทุกกฎเกณฑ์ เรื่องราว และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา ฉันอยากทำเพลงนี้มาก อยากให้เสร็จเร็วๆ และอยากให้เพลงนี้ช่วยพังกำแพงเหล่านั้นให้ทลาย จนผู้คนต่างพูดว่า “ฉันชอบเพลง Stupid Love ฉันรักคุณ”
Lady Gaga บอกกับ Apple Music เกี่ยวกับการทำงานร่วมกับ Max Martin, BloodPop และ Tchami ในเพลง “Stupid Love”…
“ก็มีฉัน Bloodpop และ Tchami และฉันได้ร่วมงานบางส่วนกับ Max คือ เขาเป็นโปรดิวเซอร์ที่น่าทึ่งคนหนึ่ง ฉันไม่เคยทำงานกับเขามาก่อน ปกติฉันลุยคนเดียว แต่งดนตรีเอง โปรดิวซ์เอง เรียกว่าไม่จำเป็นต้องร่วมงานกับ Max เลย แต่ฉันก็ลองหยุดงี่เง่า ลองเจอเขาสักครั้ง เรียกว่าเป็นงานที่เขาส่งข้ามมาเลย คือที่จริงฉันร้องคลอดนตรีที่ BloodPop แต่งขึ้นในสตูดิโอ แล้วก็ส่งที่ฉันร้องไปให้ Max ซึ่งก็จะเลือกขึ้นมาบางส่วนแล้วส่งกลับมา จากนั้นฉันก็เขียนเนื้อเพลงแล้วใช้ทำนองบางช่วงที่เขาเลือกและส่งมา เรียกว่าจับทั้งหมดมารวมกันแล้วฉันก็ไปที่สตูดิโอของเขา และลงมือบรรเลงคอร์ดเพลง Stupid Love บนเปียโน ฉันหันไปมองและบอกเขาว่า นี่ไงผลงานที่เอามาฝาก คือสำหรับฉันแล้ว เพลงนี้สมบูรณ์พร้อมในตัวเองและน่าจะเป็นเพลงที่ดีเยี่ยม ขนาดเล่นบนเปียโนยังฟังติดหูขนาดนี้ ส่วนเขาก็บอกว่า ผมชอบมาก เข้าห้องอัดไปเลย แล้วฉันก็วอร์มเสียง เดินเข้าห้องอัด แล้วก็ร้องเพลง ซึ่งสิ่งที่คุณได้ยินจากเพลง Stupid Love ก็คือสิ่งที่พวกเราทำกันในวันนั้น และฉันต้องให้เครดิตกับ Bloodpop และ Tchami ด้วย ทั้งความทุ่มเทในการทำเพลงและความรักของพวกเขาที่โอบรอบตัวฉันในทุกๆ วัน การทำอัลบั้มนี้เอ่อล้นไปด้วยอารมณ์ ร้องไห้ก็มาก และแต่งกลอนก็บ่อย แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ ฉันแทบไม่มีอะไรค้างคาใจในตัวเองเลย คือเต็มไปด้วยความจริงแท้และจริงใจ ฉันแค่เขียนอะไรบางอย่างออกไป อยากพูดอะไรก็ใส่ลงไป ใช้เวลาเขียนไม่ถึงสี่นาทีด้วยซ้ำ และรู้สึกว่านี่แหละใช่เลย”
Lady Gaga บอกกับ Apple Music เกี่ยวกับเป้าหมายของอัลบั้มใหม่…
“แน่นอนว่าเป็นแนวแดนซ์ ฉันหมายถึงว่า ถ้าจะอธิบายสิ่งที่คุณพูดถึงเมื่อสักครู่ให้ตรงที่สุดคงต้องบอกว่า ฉันทุ่มหมดใจ ทุกความปวดร้าว ทุกถ้อยคำของฉันจากอีกฟากหนึ่งที่ฉันรับรู้จาก… จากสิ่งที่พวกเขาบอกฉัน เพื่อบอกต่อกับโลก ซึ่งฉันจับมาใส่ในดนตรีที่เชื่อว่าจะมอบความสนุก บริสุทธ์แท้และเต็มเปี่ยมด้วยพลัง และอยากให้ทุกคนมาแดนซ์และมีความสุขด้วยกัน ที่จริงมีคนถามเมื่อไม่กี่วันที่แล้วว่าเป้าหมายของอัลบั้มนี้คืออะไร ซึ่งถ้าพูดออกไปคงฟังดูน่าขำแน่นอน แต่ฉันก็ตอบไปว่า “ฉันอยากทำเพลง” (หัวเราะ) “ให้คนจำนวนมากบนโลกได้ฟัง ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน และทำให้ทุกคนมีความสุขในทุกๆ วัน”
Lady Gaga บอกกับ Apple Music เกี่ยวกับการทำอัลบั้มใหม่ และวิธีที่คุณสามารถเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อโลก…
“พวกเราทำเพลงส่วนใหญ่กันที่สตูดิโอของฉัน เป็นบ้านของฉันซึ่งเคยเป็นสตูดิโอเก่าของ Frank Zappa เรียกว่าเป็นทั้งห้องนั่งเล่น เป็นสตูดิโอขนาดใหญ่ และก็สวยงามมาก บางทีฉันก็หลบไปอยู่ที่ระเบียงชั้นบนนอกครัว และเดี๋ยว Bloodpop ก็จะปรี่เข้ามาแล้วบอกว่า ‘เอาละ พอได้แล้ว เข้ามาได้แล้ว’ แล้วฉันก็งอแงและพูดว่า ‘ฉันน่าสังเวช ฉันเศร้า ฉันหดหู่’ และเขาก็จะบอกว่า ผมเข้าใจ แต่เดี๋ยวเราจะเริ่มทำเพลงกันแล้ว จากนั้นฉันก็จะลงไปข้างล่าง แล้วก็เขียนเพลง Stupid Love หรือไม่ก็เขียนเนื้อเพลงสำหรับอีกเพลงหนึ่งที่ฉันเพิ่งเล่าไป คือต้องบอกว่าอัลบั้มนี้ไม่ใช่แค่การถ่ายทอดวิธีเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อโลก แต่รับรองและหวังว่าคนอื่นๆ จะสัมผัสได้ถึงความรักที่อยู่รอบตัวฉันระหว่างที่ทำอัลบั้มนี้ ที่จริงก็อย่างที่รู้กันเรื่องอารมณ์ศิลปิน เช่นแบบที่โปรดิวเซอร์เป็นกัน หากเป็นงานใคร ก็ไม่อยากให้คนอื่นเข้ามายุ่ง ไม่อยากจะแชร์ ทุกคนจะหยิ่ง แต่กลับไม่มีเรื่องแบบนี้เลย การทำเพลงเหล่านี้ผ่านมือหลายคนมาก เราทำเพลงเหล่านี้ออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายแบบเพราะอยากให้สมบูรณ์แบบ และแทบไม่มีใครสนใจว่าใครจะฝากอัตลักษณ์แบบใดเอาไว้ ขอแค่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งเรามอบให้แก่โลก และมีความหมาย มีตัวตนที่แท้จริง และเป็นตัวของฉันเองมากที่สุด”
Lady Gaga บอกกับ Apple Music เกี่ยวกับกระบวนการทำงาน…
“บางครั้งก็ต้องขยับทั้งร่างกาย วิญญาณ และจิตใจ เพื่อจะได้รับรู้ความรู้สึกที่แท้จริง ซึ่งตอนนั้นฉันรู้สึกแย่อยู่หลายวันก่อนที่จะไปทำงานที่สตูดิโอ พอไปถึงฉันก็จะไปนั่งกับ BloodPop แล้วพูดว่า “เอาละ ฉันจะเปิดใจ จะรับฟัง และจะคุยกับเทพธิดาของฉันทุกตน” (หัวเราะ) เทพธิดาทุกตนที่ช่วยฉันแต่ง (หัวเราะ) เพลง และฉันก็ถามไปว่าผู้คนในโลกอยากได้ยินเพลงแบบใด แล้วเราก็ทำเพลงกัน ซึ่งกลายเป็นว่าพวกเขาถูกใจ ที่จริงฉันร้องไห้หลายครั้งในสตูดิโอ เพราะได้ฟังเพลงที่ฉันร้อง ได้ยินเสียงของตัวเอง ได้ยินเสียงดนตรี ซึ่งทำให้รู้สึกเบิกบานใจมาก เรียกว่าน่าเฉลิมฉลอง และได้เห็นเรื่องราวของฉันตลอดทั้งวันอย่างแท้จริง
Lady Gaga บอกกับ Apple Music เกี่ยวกับความแตกต่างในการทำอัลบั้มใหม่เมื่อเทียบกับอัลบั้ม ‘Joanne’…
“แน่นอนว่าต่างกับอัลบั้ม Joanne เหมือนกับการอยู่ในพื้นที่งานศิลป์ที่รังสรรค์บางสิ่งซึ่งเข้ากันได้อย่างลงตัวในมโนทัศน์ เป็นอัลบั้มสำหรับคุณพ่อ อัลบั้มสำหรับบาดแผลของครอบครัว อัลบั้มสำหรับการส่งผ่านสิ่งต่างๆ จากรุ่นสู่รุ่น รวมถึงความสัมพันธ์ที่ฉันมีกับผู้ชาย ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องที่เฉพาะเจาะจงมาก ว่าไหมคะ อัลบั้มนี้มีอะไรที่มากกว่านั้น กลายเป็นว่าฉันสะอึกสะอื้นสามนาที แล้วก็ได้ออกมาเลย นี่แหละที่ใช่ คือถ่ายทอดออกมาได้อย่างจริงแท้ ราวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกเสียงดนตรี ทุกความคิดทางศิลป์ มุมมองที่มีต่อดนตรี และสัมผัสดนตรีราวกับถูกโอบล้อมด้วยกำแพงแห่งเสียง เรียกว่าทุกอย่างพร้อมเดินหน้าเต็มที่ และทำให้ฉันมีความสุขอย่างมากเพราะได้คิดทบทวนกับตัวเองว่า แม้ในเวลาที่รู้สึกจมดิ่ง แต่ก็ยังลุยได้ไม่มีถอย
>