ปีนี้เป็นปีที่อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะนั้นแข่งกันอย่างดุเดือด และอีกหนึ่งแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่กระโดดมาร่วมวงสู้ศึกในครั้งนี้และกำลังมาแรงและเป็นกระแสที่สุดก็เห็นจะหนีไม่พ้น Apple Watch จากแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่มีสาวกคลั่งไคล้ทั่วโลกอย่าง Apple และนี่คืออุปกรณ์สวมใส่ไอทีตัวแรกจาก Apple ที่เราได้เห็นกันในยุคหลังจาก Steve Jobs จากไป ซึ่ง Apple จะทำได้ดีแค่ไหนทีมงาน What phone ของเรามีคำตอบในรีวิวนี้ให้ดูไปพร้อมๆ กันครับ
ปัจจุบัน Apple Watch ยังไม่มีการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย และพึ่งเปิดให้สั่งจองไปเพียง 9 ประเทศ และพึ่งจะมีการรับของกันไปในช่วงวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมาในล็อตแรกเท่านั้น ซึ่งรอบนี้ Apple ไม่มีการเปิดขาย Apple Watch ที่หน้าร้าน แต่กำหนดให้มีการสั่งซื้อออนไลน์อย่างเดียวเท่านั้นครับ
แกะกล่อง
Apple Watch นั้นแบ่งเป็นโมเดลทั้งหมด 3 รุ่น คือ Apple Watch Sport, Apple Watch Stainless และ Apple Watch Edition และรุ่นที่เราจะทำการรีวิวกันในครั้งนี้คือรุ่นที่ขายดีที่สุดในโลก หรือรุ่น Apple Watch Sport นั่นเองครับ (ทุกรุ่นจะมีหน้าตาเหมือนกันหมด ต่างกันแค่เพียงวัสดุตัวเรือน, สายของตัวเรือน และขนาดหน้าปัดที่มีให้เลือก 38 มิลลิเมตร และ 42 มิลลิเมตร)
กล่องของ Apple Watch Sport นั้นจะมาในทรงยาว ตัวกล่องค่อนข้างมีน้ำหนักพอสมควร เปิดออกมาจะพบกับ Apple Watch บรรจุอยู่ในกล่อง ส่วนด้านใต้กล่องนั้นมีอแดปเตอร์ชาร์จไฟ และสายชาร์จไฟ สายของ Apple Watch รุ่น Sport นั้นทำมาจากวัสดุยางที่ Apple เรียกว่า Fluoroelastomer Plastic รุ่นที่รีวิวนี้เป็นสายสีฟ้า (มีทั้งหมด 5 สี)
ตัวเรือนนาฬิการุ่นนี้นั้นทำมาจากอลูมิเนียมชุบผิว (Apple บอกว่าแข็งแกร่งกว่าโลหะผสมทั่วไป 60%) มีสีเทา Space Grey ส่วนกระจกที่ใช้ทำจอภาพนั้น Apple ระบุว่าใช้กระจกแบบ Ion-X ที่มีความแข็งแกร่งทนแรงกระแทก นอกจากนี้ตัวเรือนของ Apple Watch Sport ยังเบากว่ารุ่นสแตนเลสถึง 30% อีกด้วย
ด้านขวาของ Apple Watch นั้นมีเม็ดมะยม ที่ Apple เรียกมันว่า ‘Digital Crown’ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญสำหรับ Apple Watch เพราะใช้หมุนไปมา และกดลงไป เพื่อสั่งงานฟังก์ชั่นต่างๆ ของ Apple Watch และอีกปุ่มยาวๆด้านข้างที่ใช้สำหรับกดอย่างเดียวเท่านั้น อีกด้านหนึ่งจะมีลำโพงและไมโครโฟน
ด้านล่างของ Apple Watch นั้นจะมีเซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ (HR) , ที่สำหรับชาร์จไฟ และคำอธิบายชื่อรุ่นและวัสดุของ Apple Watch นอกจากนี้ยังมีปุ่มเล็กๆ สำหรับกดเพื่อถอดเปลี่ยนสายอยู่ด้วย
เมื่อทำการชาร์จไฟของ Apple Watch นั้นจะต้องใช้สายชาร์จแม่เหล็กที่มีลักษณะพิเศษ ไม่สามารถใช้ร่วมกันกับนาฬิกาอัจฉริยะแบรนด์อื่นๆ ได้ รวมไปถึงสายชาร์จของ iPhone, iPad หรือ MacBook ก็ไม่สามารถเสียบได้เช่นกันครับ
เริ่มต้นใช้งาน
การใช้งาน Apple Watch นั้นแน่นอนว่าคุณจะต้องมีอุปกรณ์ iOS อย่าง iPhone และทำการอัพเดท iOS เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด เพื่อให้มีแอพฯ ควบคุม Apple Watch โผล่ขึ้นมาบนอุปกรณ์ iOS ของเรา และทำการเชื่อมต่อ Apple Watch เข้ากับ iPhone ผ่านทางบลูทุธ โดยวิธีการจับคู่ของ Apple Watch และ iPhone จะทำได้ 2 แบบ คือ ใช้กล้องของ iPhone ถ่ายไปที่ Apple Watch ก็จะเชื่อมต่อกันทันที หรือใส่โค้ดเลขบลูทูธแบบ Manual ก็สามารถทำได้เช่นกัน หลังจากนั้นจะเข้าสู่หน้าจอ set up ต่างๆ ของนาฬิกา Apple Watch สามารถตั้งค่าได้หมดแม้แต่ปุ่มเม็ดมะยม Digital Crown ว่าจะอยู่บริเวณด้านซ้าย หรือด้านขวา
หลังจากนั้นจะเข้าสู่หน้าจอการตั้งค่าต่างๆ ไปจนถึงการใส่รหัส Apple ID และหลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนของการซิงก์แอพฯ จากบน iPhone ไปสู่นาฬิกา Apple Watch ส่วนแอพ Apple Watch บน iPhone ก็จะใช้สำหรับตั้งค่าต่างๆ ตั้งแต่ Notification ไปจนถึงการตั้งค่าเบอร์คนพิเศษ
หน้าจอของ Apple Watch นั้นแบ่งคร่าวๆ เป็นหน้ารวมแอพฯ, หน้าปัดนาฬิกา, หน้า Notification (ปาดด้านบนลงมา) และหน้า Glance (ปาดด้านล่างขึ้นมา)
การควบคุม Apple Watch หลักๆ แล้วจะใช้ปุ่ม Digital Crown เพราะใช้แทนปุ่ม Back ในการกดออกจากแอพฯ ที่เข้าไว้ (กด 1 ครั้ง = 1 Back) ส่วนการหมุน Digital Crown นั้นใช้สำหรับ Zoom in หรือ Zoom out รวมไปจนถึงการเลือก option บางอย่างบนแอพฯ หรือเลือกหน้าปัดนาฬิกา สัมผัสของการหมุน Digital Crown นั้นให้ความรู้สึกที่ดี หมุนง่ายมาก ไม่ฝืดเหมือนเม็ดมะยมบนนาฬิกาอนาล็อกทั่วไป ส่วนปุ่มด้านล่าง Digital Crown นั้นใช้ทำหน้าที่กด 1 ครั้งจะเข้าสู่หน้า Favorite Contact และใช้เม็ดมะยม Digital Crown หมุนเพื่อเลือก Contact ที่ต้องการ
หน้าแสดง Contact
หน้าปัดนาฬิกาทำการเปลี่ยนได้โดยการกดลงไปบนหน้าจอ Apple Watch ตรงๆ
มีหน้าปัดแบบ Mickey Mouse ให้เลือกด้วย
การแสดงผลแอพฯ ต่างๆ บน Glance ของ Apple Watch นั้นสามารถแสดงผลบนหน้าจอ Apple Watch ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นจากแอพ Instagram, ปฏิทิน หรือ LINE ก็แสดงผลได้ดีครับ
Instagram (เลือกจะดู Feed หรือ Comment ได้)
ปฏิทิน (รองรับภาษาไทยสมบูรณ์)
แอพฯ LINE สามารถส่งสติ๊กเกอร์ตอบได้ อ่านข้อความและสติ๊กเกอร์ได้
นอกจากนี้ยังสามารถส่งข้อความตอบโต้แบบเร็วๆ กับเพื่อนของเราได้โดยไม่ต้องหยิบ iPhone ขึ้นมา โดยเลือกตอบเป็นเสียงพูด , ข้อความสั้นที่เซ็ตไว้ หรือเลือกตอบเป็นอีโมติคอนก็สามารถทำได้ครับ
การใช้งานเพื่อสุขภาพนั้นจะทำงานร่วมกันกับแอพฯ Apple Health บน iPhone ซึ่งสามารถเก็บสถิติย้อนหลังได้ นอกจากนี้ยังมีแอพฯ ชั้นนำอย่าง Strava, Endomondo, Runtastic และแอพฯ เพื่อสุขภาพอื่นๆ อีกเพียบที่สามารถใช้งานร่วมกันกับ Apple Watch ในเรื่องการออกกำลังกายได้เป็นอย่างดี
สรุป
Apple Watch นั้นเป็นสุดยอดนาฬิกาอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวของฝั่ง iOS อย่างแน่นอน ซึ่งการใช้งานของตัวระบบ (Apple เรียกว่า Apple Watch OS) นั้นทำออกมาได้ลื่นไหล และแสดงผลได้สวยงามตามสไตล์ของ Apple มีแอพฯ ให้เลือกใช้งานมากถึงกว่า 3,500 แอพฯ แล้วในตอนนี้ ซึ่งในเรื่องของ Ecosystem นั้นเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของ Apple มานานแล้วและก็ตามมาถึง Apple Watch ด้วยเช่นกัน ส่วนในเรื่องของระบบแจ้งเตือนนั้นยังทำได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ คงต้องรอการพัฒนาต่อไป และรูปแบบของหน้าปัดนาฬิกานั้นมีให้เลือกน้อยไปนิดหนึ่ง ส่วนการใช้งานในด้านอื่นๆ นั้นเรียกได้ว่ารองรับมาตรฐานของคนทุกกลุ่มตั้งแต่เด็กไปจนถึงนักกีฬาที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย และด้วยการออกแบบและวัสดุที่สวยงามพรีเมียมสมฐานะของ Apple เรียกได้ว่าหลายๆ คนจะต้องชื่นชอบและหลงรักตั้งแต่แรกเห็นอย่างแน่นอน ส่วนในเรื่องของแบตเตอรี่นั้นสามารถใช้งานได้เต็มวันครับ ตั้งแต่ตื่นเช้าถึงเลิกงานนั้นสามารถอยู่ได้สบายๆ